ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 6
1
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome/Hypercortisolism)

โรคคุชชิง (กลุ่มอาการคุชชิง ก็เรียก) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะมีกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มหนึ่ง) มากเกิน เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ติดต่อกันนาน ๆ ในบ้านเราพบว่าเกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนในรูปของยาชุด ยาหม้อ และยาลูกกลอนที่ผู้ป่วยนิยมซื้อใช้เองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้อาจพบในผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการบำบัดรักษาโดยแพทย์ เช่น เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคไตเนโฟรติก ผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ส่วนน้อยเกิดจากต่อมหมวกไต* สร้างฮอร์โมน กลูโคคอติคอยด์ (ส่วนใหญ่ได้แก่ คอร์ติซอล) มากเกิน ดังที่เรียกว่า ภาวะคอร์ติซอลเกิน (hypercortisolism) ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เช่น

    เนื้องอกต่อมหมวกไต (adrenal adenoma) และมะเร็งต่อมหมวกไต (adrenal carcinoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ
    เนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary adenoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน
    เนื้องอกอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือมะเร็งปอดชนิด small cell lung carcinoma และเนื้องอกคาร์ซิ-นอยด์ (carcinoid tumor ซึ่งพบในทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ต่อมไทมัส รังไข่ อัณฑะ เป็นต้น) เนื้องอกเหล่านี้สามารถสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน

สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 25-40 ปี ส่วนมะเร็งปอดพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

การที่ร่างกายมีสารสเตียรอยด์ (ไม่ว่าในรูปของคอร์ติซอลที่ร่างกายสร้างเอง หรือสารสังเคราะห์ที่รับจากภายนอก) อยู่นาน ๆ ส่งผลให้มีการสะสมไขมันตามร่างกาย (ทำให้อ้วนและมีก้อนไขมันพอก) การสลายตัวของโปรตีนของกล้ามเนื้อ (ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาลีบ อ่อนแรง) การสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก (ทำให้กระดูกพรุน นิ่วไต) การสร้างกลูโคสที่ตับจากโปรตีนและไขมัน (gluconeogenesis) แล้วปล่อยออกมาในกระแสเลือด (ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน) การยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดและคอลลาเจน (ทำให้ผิวบาง หนังลาย ฟกซ้ำง่าย แผลหายยาก) การคั่งของโซเดียมในร่างกาย (ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง) เพิ่มการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (ทำให้สิวขึ้น ขนอ่อนขึ้น ประจำเดือนผิดปกติ) ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ (ทำให้มีอารมณ์เคลิ้ม วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อยากอาหาร) กดภูมิคุ้มกัน (ทำให้ติดเชื้อง่าย) กดการสร้างกระดูกและฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต (ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า)

*ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อรูปร่างคล้ายผลองุ่นอยู่ตรงส่วนบนของไต (คล้ายหมวกที่ครอบอยู่เหนือยอดไต) ทั้งสองข้างประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนแกน (medulla) กับส่วนเปลือก (cortex)

ต่อมหมวกไตส่วนแกน มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน (adrenaline) กับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต การสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะถูกกระตุ้นโดยสมอง
ส่วนต่อมหมวกไตส่วนเปลือก จะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid) 3 กลุ่ม ได้แก่

1. แอลโดสเตอโรน (aldosterone) มีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม โซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล

2. ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน) ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างที่อัณฑะและรังไข่

3. กลูโคคอร์ติคอยต์ (glucocorticoid) มีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มนี้มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึม (กระบวนการแปรรูปอณู) โดยการสังเคราะห์ (anabolism) และแตกตัว (catabolism) ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายเกิดพลังงาน อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้ปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับความเครียด (เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย การติดเชื้อ การทำงานหนัก ความเครียดทางอารมณ์) ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบรรเทาการอักเสบ และควบคุมภาวะภูมิแพ้และปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง การสร้างฮอร์โมนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH/adrenocorticotropic hormone) ซึ่งสร้างโดยต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ และการสร้างเอซีทีเอชก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนซีอาร์เอช (CRH/corticotropin-releasing hormone) ซึ่งสร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสอีกต่อหนึ่ง ในขณะเดียวกันคอร์ติซอลก็ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาป้อนกลับต่อฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกิน ก็จะไปยับยั้งไม่ให้สร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งจะทำให้ต่อมหมวกไตลดการสร้างคอร์ติซอลลง ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่ผู้ป่วยใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ ได้แก่ เพร็ดนิโซโลน (prednisolone) และเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) ซึ่งออกฤทธิ์เป็น 5 และ 40 เท่าของคอร์ติซอลตามลำดับ ติดต่อกันนาน ๆ จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งมีผลทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อ สร้างคอร์ติซอลได้น้อยลง ถ้าหากมีการหยุดใช้สารสเตียรอยด์สังเคราะห์ทันทีทันใด อาจทำให้เกิดภาวะขาดสเตียรอยด์เฉียบพลัน กลายเป็นภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ได้

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นแรมเดือน ในระยะแรกจะพบว่าผู้ป่วยหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แลดูเป็นหนอก ซึ่งทางภาษาแพทย์ เรียกว่า อาการหนอกควาย (buffalo’s hump) รูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง

ผิวหนังจะออกเป็นลายสีคล้ำ ๆ ที่บริเวณท้อง (ท้องลายคล้ายคนหลังคลอด) บริเวณสะโพก กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา ผิวหนังบางและมีจ้ำเขียวพรายย้ำง่ายเวลาถูกกระทบกระแทก

มักมีสิวขึ้นที่หน้า หน้าอก หลัง และมีขนอ่อนขึ้นที่หน้า ลำตัว และแขนขา (ถ้าพบในผู้หญิงทำให้ดูว่าคล้ายมีหนวดขึ้น) กระดูกอาจผุกร่อน มักทำให้มีอาการปวดหลัง (เพราะกระดูกสันหลังผุ) หรือกระดูกแตกหักง่าย

อาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการของเบาหวาน

ผู้หญิงอาจมีเสียงแหบห้าว มีขนมากแบบผู้ชาย ประจำเดือนมักจะออกน้อยหรือไม่มาเลย และมีบุตรยาก

ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอยากอาหาร ไม่มีความรู้สึกทางเพศ อาจมีอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้าหรือกลายเป็นโรคจิต

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมได้สมอง มักมีอาการปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะตอนกลางคืน ตามัว มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เช่น หัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด

อาจมีการติดเชื้อง่ายซึ่งจะพบบ่อยที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก

อาจทำให้เป็นแผลเพ็ปติก ต้อกระจก ต้อหินเรื้อรัง กระดูกหักง่าย นิ่วไต หรือเป็นโรคจิต

ถ้าพบในเด็กอาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการใช้สารสเตียรอยด์มากเกิน ถ้าหากหยุดสเตียรอยด์ทันที (steroid withdrawal) หรือขณะเกิดการเจ็บป่วย ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "ภาวะช็อก") เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน พุงป่อง หน้าอูม มีก้อนไขมันขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและต้นคอด้านหลัง แขนขาลีบ หน้ามีสิวและขนอ่อนขึ้น ท้องลาย ก้นลาย ผิวหนังบาง พบจ้ำเขียวพรายย้ำ ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือดและปัสสาวะ ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ ตรวจระดับเอซีทีเอช (ACTH) ซึ่งจะพบว่าต่ำในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมหมวกไต และพบว่าสูงในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมใต้สมอง และอาจทำการทดสอบที่เรียกว่า “Dexamethasone suppression test”* และอาจจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเนื้องอกต่าง ๆ

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด (พบน้ำตาลสูง ไขมันชนิดแอลดีแอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โพแทสเซียมต่ำ) เอกซเรย์ (พบร่องรอยกระดูกหัก หัวใจห้องล่างซ้ายโต นิ่วไต)

* โดยให้สเตียรอยด์สังเคราะห์ได้แก่ เดกซาเมทาโซน แก่ผู้ป่วยตอนกลางคืน (23:00 น.) แล้ววัดระดับคอร์ติซอลในเลือดตอนเช้า (08.00 น.) ถ้าพบว่ามีค่าต่ำลงมาก ก็มักจะไม่ใช่โรคคุซซิง (เนื่องจากสารนี้จะไปกดต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตจนลดการสร้างคอร์ติซอล) แต่ถ้าลดลงบางส่วนก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ถ้าไม่ลดก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีสาเหตุจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน แพทย์จะยังคงให้ผู้ป่วยกินยาสเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน แต่จะหาทางค่อย ๆ ลดขนาดของยาลงทีละน้อย และทำการตรวจวัดระดับคอร์ติซอลในเลือดเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีระดับต่ำ จนกลับสู่ระดับปกติในที่สุด ซึ่งมักจะใช้เวลานานเป็นปี จึงจะหยุดยาสเตียรอยด์

ถ้ามีสาเหตุจากการเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วให้กินยาสเตียรอยด์ทดแทนไปจนตลอดชีวิต เพราะภายหลังการผ่าตัดร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เองไม่ได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง มีอาการหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) หรือมีรูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคุชชิง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา มีอาการมีไข้ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หรือมีการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ และยาชุด ยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์มาใช้เอง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้อย่างผิด ๆ (เช่น การซื้อยาชุด ยาหม้อ หรือยาลูกกลอนที่มียานี้ผสมกินเป็นประจำ) ยกเว้นโรคบางโรคอาจต้องใช้ยานี้รักษา ซึ่งก็ควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2. ในรายที่เป็นโรคคุชชิงจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน ระหว่างรอไปพบแพทย์ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ควรให้กินสเตียรอยด์ต่อไปจนกว่าแพทย์จะปรับลดขนาดลง มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะขาดสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน จนเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

3. โรคนี้ถ้าไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ในรายที่เกิดจากเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การผ่าตัดจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ แต่จะต้องกินสเตียรอยด์เข้าไปทดแทนในร่างกายตลอดไป ห้ามขาดยาเป็นอันขาด

2
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
65,900 บาท 

ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
SAMSUNG Galaxy Z Fold4 สมาร์ตโฟนสองเครื่องในหนึ่งเดียว ซึ่งมีน้ำหนักเบาจนแทบจะไม่รู้สึกว่ามันคือโทรศัพท์หน้าจอพับได้ หน้าจอขนาด 7.6 นิ้ว มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,400 mAh

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                 ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
   ราคากลาง              65,900 บาท
   จำนวนซิม              2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์             จอสัมผัส
   สี                          Black(Phantom Black), Beige, Other(Graygreen, Burgundy)

   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850 / 900 / 1800 / 1900)
3G(HSDPA 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100)
4G(LTE)
5G(SA/NSA/Sub6/mmWave)

   ขนาด-น้ำหนัก                         ยาว 155.1 x กว้าง 130.1 x หนา 6.3 มม., น้ำหนัก 263 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด        -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ           ความจุแบตเตอรี่ 4,400 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                                จอสัมผัส (Foldable Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด                         7.6 นิ้ว, 373 ppi, 1,812 x 2,176 px
   รายละเอียดอื่น
ระบบปฏิบัติการ Android 12L, One UI 4.1.1
ประมวลผลชิปเซ็ต Qualcomm SM8475 Snapdragon 8+ Gen 1
กล้องหลัง 3 เลนส์ เลนส์หลัก 50 MP, f/1.8 + เลนส์ telephoto 10 MP, f/2.4 + เลนส์ ultrawide 12 MP, f/2.2
รองรับ Fast charging 25W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                    กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (4 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                  Auto Focus, Flash

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)                Octa-core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)      Adreno 670
   หน่วยความจำ (RAM)                    12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                   USB(Type-C 3.2), Bluetooth(5.2), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/6e, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot)
   ระบบรับส่งข้อความ                       SMS, MMS, EMAIL, PUSH MAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                  3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G, 5G
   ระบบ GPS                                 A-GPS, GLONASS, GALILEO, BDS

3
หากเด็กมีอาการฟันผุ ขณะจัดฟันเด็ก
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น มักพบได้บ่อยเพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มักมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการตกค้าง เวลาที่เด็กแปรงฟันได้ไม่สะอาด ซึ่งในข้อนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสอนเด็กให้รู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่เด็กมีฟันน้ำนมผุจนรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟันก็อาจจะทำให้ฟันแท้มีปัญหาได้ เพราะเนื่องจากการที่ฟันน้ำนมหลุดออก ก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ฟันแท้งอกขึ้นมาอย่างผิดปกติหรือบางครั้งเด็กอาจเกิดภาวะฟันแท้หาย

เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ซึ่งในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ถ้าวงการทันตกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยเด็กที่มีอายุสี่ถึง 15 ปีก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้วโดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ ถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน แต่การเข้ารับการจัดฟันอาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาได้

ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มาก คอยหมั่นสังเกตกรรมการแปรงฟันหรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อที่เด็กจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้วและเด็กเกิดมีอาการฟันผุจะต้องทำอย่างไร ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักพบได้บ่อยในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการเกิดอาการฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะจัดฟันต้องมีการใส่เครื่องมือจัดฟันอย่างเข้าไปในช่องปาก ส่งผลให้เกิดช่องว่างหรือซอกเล็กๆ ระหว่างฟันและเครื่องมือ ที่แปรงสีฟันธรรมดาที่เราใช้กัน ไม่สามารถทำความสะอาดได้ทั่วถึง

เมื่อมีเศษอาหารติดบริเวณเครื่องมือ การทำความสะอาดฟันจึงทำได้ยากจำเป็นต้องใช้ความใส่ใจ เวลา และวิธีทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แปรงขนาดเล็กที่สามารถชอนไชไปตามซอกฟันได้ ใช้ไหมขัดฟัน หากไม่ใส่ใจมากพอในเรื่องความสะอาดมากพอในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กฟันผุได้

มีโอกาสเกิดหินปูนเกาะจนเหงือกอักเสบได้  หรืออาจทำให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ นั่นเอง แล้วเมื่อเด็กฟันผุขณะจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะต้องพาเด็กเข้าพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยทันที แต่ความจริงแล้วปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันก่อนการเข้ารับการจัดฟันนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียดเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาก่อนเข้ารับการจัดฟันเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน

แต่ในกรณีที่เด็กเกิดฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันนั้นจะต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วนเพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันได้หรืออาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณข้างเคียงซี่อื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจมันสังเกตช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ติดตามดูอาการและผลข้างเคียงต่างๆด้วย
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด หากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทางเราสามารถตรวจและแก้ไขรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะได้ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

4
Doctor At Home: ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) เป็นภาวะที่เยื่อบุบริเวณโพรงอากาศข้างจมูกเกิดการอักเสบบวมจากการติดเชื้อ ทำให้คัดจมูก มีน้ำมูกข้น ปวดบริเวณจมูก ตา โหนกแก้ม หน้าผาก ฟัน ไอ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น สามารถเกิดได้ทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรัง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการดูแลตนเองร่วมกับใช้ยาตามแพทย์สั่ง

ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้า มี 4 คู่ ได้แก่ ไซนัสแมกซิลลา (Maxillary Sinus) อยู่ในกระดูกโหนกแก้ม ไซนัสเอธมอยด์ (Ethmoid Sinus) อยู่ระหว่างเบ้าตาและด้านข้างของจมูก ไซนัสฟรอนตัล (Frontal Sinus) อยู่ในกะโหลกส่วนหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ไซนัสสฟีนอยด์ (Sphenoid Sinus) อยู่ในกระดูกส่วนที่เป็นฐานสมอง โดยภายในโพรงไซนัสแต่ละจุดจะมีเยื่อบุไซนัสทำหน้าที่ผลิตเมือกสำหรับดักจับฝุ่นและเชื้อโรค

อาการของไซนัสอักเสบ

เนื่องจากไซนัสอักเสบเกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุไซนัสที่บริเวณโหนกแก้ม โพรงจมูก และกระดูกหน้าผาก อาการของไซนัสส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ ดังนี้

    หายใจติดขัด อึดอัด คัดจมูก
    มีน้ำมูกสีเขียวหรือสีเหลืองข้น
    ประสาทรับกลิ่นไม่ดี
    ปวดบริเวณไซนัส ได้แก่ โหนกแก้ม หน้าผาก จมูกตรงระหว่างคิ้ว หัวคิ้ว และหัวตา
    ปวดฟัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นปาก
    มีไข้ อ่อนเพลีย
    ไอ เจ็บคอ มีมูกข้นในลำคอหรือมูกไหลลงลำคอ

อาการของไซนัสอักเสบมีระยะเวลาฟื้นตัวและหายดีแตกต่างกันตามชนิดของการอักเสบ คือ

    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute Sinusitis) มักเกิดร่วมกับโรคหวัด ระยะเวลาป่วย 2–4 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นยาวนานประมาณ 4–12 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มักพบร่วมกับการป่วยโรคภูมิแพ้
    ไซนัสอักเสบซ้ำซ้อน (Recurrent Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นมากกว่า 3 ครั้งใน 1 ปี โดยแต่ละครั้งมีอาการนานมากกว่า 10 วัน


สาเหตุของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ เกิดจากเยื่อบุไซนัสติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านเข้ามาทางกระบวนการหายใจ จนเนื้อเยื่อเกิดอาการบวม สารคัดหลั่งเมือกเหลวที่ถูกผลิตขึ้นจึงเกิดการอุดตันกลายเป็นหนองอักเสบหรือน้ำมูกเขียวข้น ทำให้เกิดอาการคัดจมูก มีน้ำมูกไหล มีอาการปวดบริเวณไซนัสที่อักเสบ และมีอาการป่วยอื่น ๆ ตามมา

ไซนัสอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของผู้ป่วย หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่รุนแรงขึ้นอาการจะทุเลาลงและหายดีเองภายในประมาณ 10 วัน ในขณะที่การติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้ไซนัสอักเสบจะพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 5–10% เท่านั้น และต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ มักมีอาการนานกว่า 10 วัน หรืออาการแย่ลงหลังจากเป็นมานาน 5 วัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาการอักเสบยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ทุเลาลง หรือลุกลามยาวนานจนกลายเป็นไซนัสอักเสบระยะเรื้อรังมีหลายปัจจัย เช่น การป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะภูมิแพ้อากาศและหอบหืด การเกิดเนื้องอกในจมูก การเกิดผนังกั้นช่องจมูกคด การมีภูมิคุ้มกันต่ำ และการสูบบุหรี่

 
การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ

การวินิจฉัยอาการไซนัสอักเสบอาจใช้วิธีสังเกตตนเองร่วมกับการตรวจจากแพทย์ ดังนี้
การวินิจฉัยด้วยตนเอง

อาการของไซนัสคล้ายกับอาการของไข้หวัด ผู้ป่วยควรสังเกตว่ามีน้ำมูกอุดตันจนหายใจลำบาก มีมูกข้นในลำคอหรือไหลลงสู่ลำคอ หรือมีอาการปวดตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นตำแหน่งของไซนัสหรือไม่

และควรมาพบแพทย์ทันทีหากมีอาการป่วยรุนแรง เช่น มีอาการปวดศีรษะมาก ไข้สูง มองเห็นภาพซ้อนหรือการมองผิดจากปกติ ปวดบวมบริเวณดวงตา จมูก หน้าผาก แก้ม รักษาแล้วแต่อาการไม่ทุเลาลง มีอาการเรื้อรังยาวนานเกินกว่า 10 วัน หรือเคยมีประวัติป่วยด้วยไซนัสอักเสบมาก่อน


การวินิจฉัยโดยแพทย์

ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามอาการและประวัติการป่วยร่วมกับการตรวจร่างกาย โดยอาจพบเยื่อบุโพรงจมูกมีการอักเสบบวมแดงหรือมีหนอง ตรวจมูกหนองในลำคอ และกดตามจุดบริเวณใบหน้าเพื่อตรวจหาตำแหน่งอักเสบของไซนัส

ส่วนการตรวจพิเศษเพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัด แพทย์มักใช้วิธีวินิจฉัยภาพที่ได้จาก

    Computed Tomography Scan (CT Scan) แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปทางหลอดเลือดดำ แล้วฉายรังสีเอกซ์ให้คอมพิวเตอร์สร้างภาพออกมา โดยในระหว่างการฉายรังสีจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด
    Magnetic Resonance Imaging (MRI) เป็นเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นอวัยวะส่วนที่จะตรวจ แล้วสร้างเป็นภาพออกมา เป็นวิธีการตรวจที่มีความละเอียดและความแม่นยำสูง สามารถใช้ตรวจร่างกายภายในได้ทุกระบบ แพทย์จะวินิจฉัยจากภาพที่ได้ว่ามีสารเหลวอยู่ในบริเวณไซนัสหรือไม่และบริเวณใด แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

นอกจากนั้น แพทย์ยังอาจใช้การตรวจเลือดเพื่อหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Cell) เพื่อดูการทำงานและปริมาณของเม็ดเลือดขาว ตรวจหาอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte Sedimentation Rate, ESR) และตรวจหา C-Reactive Protein ในเลือด

อีกวิธีที่ใช้ตรวจบริเวณโพรงจมูกและไซนัส คือ Nasal Endoscopy เป็นการส่องกล้อง Endoscope โดยแพทย์จะสอดหลอดแก้วนำแสงเข้าไปทางจมูก แล้วตรวจดูจุดต่าง ๆ ว่ามีการอักเสบหรือมีหนองที่ไซนัสหรือไม่ผ่านภาพจากกล้อง


การรักษาไซนัสอักเสบ

การรักษาอาการอักเสบของไซนัสอาจทำได้ด้วยการดูแลตนเองและการเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ดังนี้


การดูแลตนเองเบื้องต้น

หากป่วยด้วยไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน อาการจะทุเลาลงและหายดีภายใน 2–4 สัปดาห์ ในระหว่างนั้นผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองที่บ้านได้ ดังนี้

    การใช้ยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น กลุ่มยาแก้ปวดและลดไข้ อย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) และไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยลดไข้และบรรเทาอาการปวดบวมอักเสบ และกลุ่มยาลดน้ำมูกและแก้คัดจมูก (Decongestant) เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกหายใจติดขัด อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังของยากลุ่มนี้คือไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกินกว่า 1 สัปดาห์
    การใช้แผ่นประคบร้อน (Warm Pack) ประคบตามจุดต่าง ๆ ที่มีอาการปวดบนใบหน้า ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดและทำให้มูกเหลวที่อักเสบไหลออกมามากขึ้น
    การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ โดยก่อนการล้างจมูกควรล้างมือและอุปกรณ์ทุกชนิดให้สะอาด แล้วใช้กระบอกฉีดยาฉีดน้ำเกลือเข้าโพรงจมูกข้างหนึ่งอย่างช้า ๆ น้ำเกลือจะชะล้างหนองที่อักเสบและสิ่งสกปรกที่ตกค้างภายในโพรงจมูกให้ไหลออกมาทางจมูกอีกข้างหนึ่ง


การรักษาทางการแพทย์

หากเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว อาการไซนัสอักเสบยังไม่ทุเลาลง มีอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นไซนัสอักเสบซ้ำหลายครั้ง ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการ โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษา ดังนี้


การให้ยา

ยาบางชนิดต้องอยู่ภายใต้คำสั่งและการดูแลของแพทย์ ได้แก่ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Nasal Corticosteroids) เป็นยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ ใช้พ่นเข้าไปในจมูกเพื่อลดอาการอักเสบ ลดการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก มีประสิทธิผลทั้งทางการรักษาและทางการป้องกันการอักเสบ

ในบางกรณี หากสเตียรอยด์แบบสเปรย์รักษาไม่ได้ผล แพทย์จะให้ใช้สเตียรอยด์แบบหยด โดยผสมสเตียรอยด์ในน้ำเกลือที่ใช้ล้างจมูกแทน ผลข้างเคียงของการใช้ยานี้คือ อาจเกิดอาการระคายเคืองจมูก มีเลือดไหลจากจมูก หรือเจ็บคอร่วมด้วย ส่วนยาสเตียรอยด์แบบรับประทานจะใช้ในรายที่มีอาการป่วยรุนแรง และไม่ควรใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

สำหรับยาลดอาการคัดจมูกแบบรับประทาน เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine แพทย์จะจ่ายยาในปริมาณสำหรับรับประทาน 10–14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3–5 วัน

ส่วนยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะถูกนำมาใช้ในกรณีที่ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาโดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรคเป็นเวลา 10–14 วัน เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin

แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2–3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin


การผ่าตัด

หากการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย


ภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนี้

    เกิดภาวะประสาทรับกลิ่นแย่ลง (Hyposmia) หรือสูญเสียประสาทรับกลิ่น (Anosmia) นอกจากการอุดตันของมูกและหนองจะทำให้คัดจมูกหายใจลำบากแล้ว ยังมีผลต่อการรับกลิ่นของเซลล์บริเวณจมูกด้วย
    การติดเชื้อซ้ำซ้อน แม้จะมีภาวะไซนัสอักเสบไปแล้ว แต่บริเวณเยื่อบุไซนัสอาจอักเสบซ้ำได้ด้วยสาเหตุอื่น หรือการอักเสบอาจเกิดขึ้นกับไซนัสบริเวณอื่น ซึ่งจะเป็นผลให้อาการป่วยทรุดลงหรือพัฒนาไปสู่ภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง
    ต่อมน้ำลายอุดตัน เป็นผลพวงมาจากการอุดตันของหนองอักเสบในไซนัส หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังโครงสร้างอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง
    การติดเชื้อที่อวัยวะและโครงสร้างเซลล์บริเวณใกล้เคียงกับไซนัส เป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้แต่ไม่บ่อยนักแต่จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอักเสบที่ดวงตา เส้นเลือดอักเสบ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การอักเสบของกระดูกและไขกระดูก


การป้องกันไซนัสอักเสบ

การป้องกันไซนัสอาจเสบอาจทำได้โดยการปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

    ป้องกันตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยไซนัสอักเสบ โดยสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี รักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคไข้หวัด
    หลีกเลี่ยงฝุ่นควันและมลภาวะ เมื่อต้องออกนอกบ้านหรือเดินทางในพื้นที่เสี่ยงต่อมลภาวะ ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เมื่ออยู่ในบ้านก็ควรทำความสะอาดกำจัดฝุ่นและขนสัตว์อยู่เสมอ และหากป่วยเป็นภูมิแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสสารที่ตนแพ้ด้วย
    ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้คนที่กำลังสูบบุหรี่ เพราะควันและสารพิษจากบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในเนื้อเยื่อจมูกและไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบตามมา
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เช่น พืชผักผลไม้และอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างส้ม องุ่น ถั่ว ผักคะน้า หัวมัน ธัญพืช เนื้อปลา

5
มอเตอร์โชว์: Toyota ยืนยัน Century GRMN SUV เตรียมผลิตจริงแล้ว

เมื่อปีก่อน Toyota ได้เปิดตัว Century SUV ภายในงานดังกล่าวมาพร้อมรุ่น GRMN รถเวอร์ชันเน้นสมรรถนะที่โชว์เพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น แต่คราวนี้ Akio Toyoda ประธานของโตโยต้ายืนยันแล้วว่า Century GRMN SUV จะมีการผลิตขายจริง เริ่มจากในบ้านเกิดอย่างญี่ปุ่น และมีจำหน่ายในจีนอีกด้วย
 
สำหรับ GRMN ย่อมาจาก “Gazoo Racing Masters of Nürburgring” ซึ่งเป็นแผนกมอเตอร์สปอร์ต Gazoo Racing ของ Toyota ซึ่งเทียบเท่ากับที่ Mercedes-Benz มี AMG หรือ BMW มี M Division เลยทีเดียว
 
ประธาน Toyota ยืนยันเอง
 
ข่าวนี้เกิดขึ้นระหว่างการประชุมกันระหว่าง Akio Toyoda และเจ้าของ Century ในประเทศจีน โดยการเปิดตัว Century SUV ในจีนนั้นต้องการตั้งเป้าไปที่ “ผู้นำอายุน้อย” และระหว่างการประชุมมีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งถามว่าจะมีรุ่น GRMN อยู่ในแผนหรือไม่   
 
ประธานโตโยดะตอบว่า “Century ที่ผมเป็นเจ้าของคือรุ่น GRMN หนึ่งเดียวที่มีตอนนี้ แต่ต่อไป ผมอยากสร้าง GRMN ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเป็นเจ้าของได้” และเมื่อถูกถามว่าจะนำรุ่นนี้มาขายในจีนหรือไม่ โตโยดะก็ยืนยันว่า “เรามีแผนที่จะทำเช่นนั้น”
 
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวต่อไปว่า “เราจำเป็นต้องรออีกสักหน่อย”


Century GRMN SUV พิเศษกว่า Century ปกติอย่างไร
 
สำหรับ Toyota Century GRMN SUV เป็นรถต้นแบบที่เปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และได้เป็นหนึ่งในรถที่จัดแสดงในงาน Tokyo Auto Salon 2024 ที่ผ่านมา ภายใต้คอลเลคชั่นของ Morizo ซึ่งก็คือชื่อในวงการมอเตอร์สปอร์ตของโตโยดะนั่นเอง
 
Century GRMN SUV มาพร้อมพาร์ทรอบคันใหม่ เราจะเห็นชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์หลายชิ้น พร้อมกับประตูบางเลื่อนและล้อลายใหม่สีดำแบบสปอร์ตขนาด 22 นิ้ว
 

Century SUV รุ่นปกติ
 
คาดว่าจะแรงขึ้น
 
Toyota ยังไม่เปิดเผยข้อมูลสเปคของรถคันนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการปรับปรุงหลายประการ เช่น ช่วงล่าง, ระบบเบรค ไปจนถึงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้น เนื่องจากรถในเวอร์ชัน GRMN คือโมเดลที่จะเป็นที่สุดในไลน์อัพของ Toyota Gazoo Racing ทั้งด้านสมรรถนะและการควบคุม
 
ขุมพลังเดิมของ Century SUV มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ปลั๊กอินไฮบริด PHEV ให้กำลังรวมสูงสุด 406 แรงม้า (hp) จับคู่เกียร์ e-CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบ E-Four Advanced AWD หากปรับแต่งด้วยสำนัก GRMN คาดว่าสามารถต่อกรกับ Aston Martin DBX707, Lamborghini Urus, และ Mercedes-AMG G63 ได้ทั้งความหรูและความแรงเลยทีเดียว
 

กำเงินรอได้เลย
 
หากพิจารณาตามที่ Akio Toyoda กล่าวแล้ว Toyota Century GRMN SUV มีโอกาสผลิตจริงแน่นอน โดยจะเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก และขยายไปยังประเทศอื่น ซึ่งมีโอกาสมากที่ประเทศจีนจะเป็นประเทศต่อไป

6
ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อตับและชีวิตได้ เช่น ตับวาย ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกายผ่านการใช้เข็มฉีดยา ฝังเข็ม ใช้อุปกรณ์ที่ปนเปื้อนร่วมกัน หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ทั่วโลกประมาณ 350–400 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยก็มีการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบ บี สูงประมาณร้อยละ 6–10 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นจำนวนประชากร 6–7 ล้านคน โดยการรับเชื้อส่วนใหญ่จะมาจากมารดาผู้เป็นพาหะนำโรคไปสู่ทารกในตอนคลอด


อาการไวรัสตับอักเสบ บี

อาการของไวรัสตับอักเสบ บี มักเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 1–3 เดือนแรกหลังจากที่ได้รับเชื้อ และผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90–95 สามารถหายเป็นปกติจากการที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้น ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในอนาคต ส่วนรายที่ไม่สามารถหายเองได้ประมาณร้อยละ 5–10 มักจะไม่มีอาการแสดงออกมา ซึ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการแสดงสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

อาการที่เกิดขึ้นในผู้ใหญ่ในช่วง 1–3 เดือนแรก จะเรียกว่าระยะเฉียบพลัน โดยในระยะนี้จะยังไม่ค่อยพบว่ามีอาการที่รุนแรงหรือน่ากังวลมากนัก แต่หากการติดเชื้อดำเนินต่อไปเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป จะเรียกว่าระยะเรื้อรัง โดยระยะเรื้อรังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอย่างตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งอาการก็จะแตกต่างกันออกไป

ทั้งนี้ ทั้งระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรังสามารถพบอาการได้ตั้งแต่เป็นน้อยจนเป็นรุนแรง โดยจะขึ้นอยู่กับระดับการอักเสบของตับในผู้ป่วยแต่ละคน


สาเหตุของไวรัสตับอักเสบ บี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะติดต่อผ่านคนสู่คน โดยติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกาย หากผู้ที่ได้รับเชื้อมาไม่มีภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบ บี ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้


การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ บี

การวินิจฉัยในเบื้องต้นสามารถทำเองได้โดยการสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เช่น ปวดท้อง มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งหากผู้ป่วยพบว่าตัวเองมีโอกาส มีความเสี่ยง หรือพบว่ามีอาการของไวรัสตับอักเสบ บี ให้ไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดและอาจนำเอาตัวอย่างชิ้นเนื้อตับไปตรวจ


การรักษาไวรัสตับอักเสบ บี

การรักษาไวรัสตับอักเสบ บี แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบ บี ระยะเฉียบพลัน ซึ่งสามารถหายได้เอง แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัว เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูง และดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ เพราะร่างกายกำลังต่อสู้ในการกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่

หากได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี ระยะเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคตับที่รุนแรง และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยการรักษาที่แพทย์แนะนำนั้นขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน เช่น การรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส ยาอินเตอร์เฟอรอน หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับ


ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบ บี

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของไวรัสตับอีกเสบ บี จะเกิดในระยะเรื้อรัง โดยอาจทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงขึ้นได้ เช่น โรคตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากการที่เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลงไป หรือตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จนอาจต้องทำการเปลี่ยนตับหรือปลูกถ่ายตับใหม่


การป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน โดยควรฉีดตั้งแต่แรกเกิด แต่เด็กโตและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็สามารถฉีดวัคซีนได้เช่นกัน

นอกจากนั้น เรายังสามารถป้องกันและระมัดระวังไวรัสตับอักเสบ บีได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่กังวลหรือเครียดจนเกินไป สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หรือหากต้องการเจาะหูหรือสักลายควรเลือกร้านที่น่าเชื่อถือถูกหลักอนามัย

7
บ้านติดรถไฟฟ้า เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
เริ่มต้น 3.99 ลบ.

เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น หนึ่งเดียวในบางขุนนนท์ ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ในเขตกรุงเก่าใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น สู่การสร้างสรรค์บ้านที่สะท้อนเอกลักษณ์ของคนเมืองที่รักธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบร่มเย็น เดินทางสะดวก สามารถสานต่อวิถีชีวิตครอบครัวที่มีทั้งวัยเด็กสู่วัยสูงอายุได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อการเดินทางด้วยทางด่วน และสถานีรถไฟฟ้า บางขุนนนท์ Interchange Station

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
 เจ้าของโครงการ         พีซแอนด์ลีฟวิ่ง
 ราคา                         เริ่มต้น 3.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล            บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ           20 ไร่ 3 งาน 48 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             196 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด       3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน               ตั้งแต่ 17.5 ถึง 21.2 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย             ตั้งแต่ 122 ถึง 197 ตร.ม.
 จำนวนชั้น               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง                ตั้งแต่ 5 ถึง 5.7 ม.
 จำนวนห้องนอน      ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค           สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               บางกอกน้อย
 ที่ตั้ง               ซอยบางขุนนนท์ 29 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700

 ขนส่งสาธารณะ                   ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานี(ท่าพระ - บางซื่อ)(บางขุนนนท์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Tesco Lotus ปิ่นเกล้า
Major ปิ่นเกล้า
Makro จรัญสนิทวงศ์
Central ปิ่นเกล้า
ตลาดบางขุนนนท์
ตลาดวังหลัง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โรงพยาบาลยันฮี
โรงพยาบาลศิริราช

8
บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ

ในประเทศไทยของเรานั้น มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวตตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าฝนหรือหน้าหนาว แต่อากาศก็ยังร้อนได้ตลอด ยิ่งเข้าหน้าร้อนทุกปี ยิ่งร้านไปอีกเป็นทวีคุณ ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลายบ้านขาดไม่ได้นั่นก็คือ แอร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ยิ่งออกนอกห้องแอร์ทีไร ก็ทำให้ร้อนเหงื่อไหลไคลย้อย อาจจะทำให้อารมณ์หงุดหงิดไม่เป็นอันทำงานทำการได้ แต่แม้ว่าจะเปิดแอร์ให้เย็นสบายใจ ก็ต้องมากังวลใจกับค่าไฟที่พุ่งสูงตามอุณหภูมิ เพราะแอร์ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลืองไฟมากชนิดหนึ่ง แถมยังต้องมานั่งเสียเงินค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพงในการล้างทำความสะอาดแอร์ในแต่ละครั้ง แต่การล้างแอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟในการใช้งานไปได้เยอะ


เพราะเมื่อเราใช้แอร์ไปนานๆก็ จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวแอร์ และเมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น ทำงานหนัก กินไฟมากกว่าเดิมนั่นเอง และถ้าฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้แอร์มีน้ำหยด การล้างแอร์เบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดแผ่นกรองหยาบก็สามารถช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้ดีขึ้น หรือจะให้ช่างแอร์มาล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องก็จะทำให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งยิ่งขึ้น และวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ โดยไม่ต้องปวดหัวกับค่าไฟที่แสนแพงในช่วงสิ้นเดือน เพื่อลดภาระค่าใช้งานในส่วนนี้ไปได้เยอะเลยทีเดียว

สำหรับวิธีการเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อนก็มีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีแรกอย่างที่เราทราบกันก็คือ การล้างทำความสะอาดแอร์ เพื่อให้แอร์มีความสะอาด ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยรักษาอายุการใช้งานแอร์ของเราอีกด้วย หลายคงประสบปัญหาที่ว่า แม้จะลดอุณหภูมิแอร์แล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกเย็น นั่นเป็นเพราะว่ามีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่เข้าไปในแอร์เป็นจำนวนมาก นอกจากลดอุณหภูมิยังไงแอร์ก็ไม่เย็น แอร์ยังทำงานหนักขึ้นและกินไฟมากอีกด้วย ดังนั้น การล้างแอร์แบบจัดเต็ม คือ การถอดล้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ด้วย วิธีต่อมาคือ การตั้งอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเล็กน้อย หลายคนมีความเข้าใจว่าอุณหภูมิแอร์ 25 องศาคืออุณหภูมิที่ประหยัดไฟที่สุด

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะความจริงแล้วระดับอุณหภูมิ 25 องศาที่คือระดับอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกสบายที่สุด จึงมีการแนะนำให้ตั้งระดับอุณหภูมิแอร์ที่ 25 องศา แต่ถ้าใครลองปรับเพิ่มอุณหภูมิเป็น 26-27 องศาแล้วยังรู้สึกสบายตัวอยู่ แนะนำให้ปรับอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย แอร์ก็จะทำงานน้อยลง ช่วยให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟ ถ้าตอนกลางวันอากาศร้อนไม่ไหวจริงๆ อาจจะลองปรับอุณหภูมิเฉพาะในเวลากลางคืนที่อากาศร้อนน้อยกว่า


แล้วตั้งเวลาปิดแอร์ 1 ชั่วโมงก่อนตื่นนอน  แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว วิธีต่อมาคือ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ให้ความร้อน ในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะหน้าที่หลักของแอร์ คือการทำให้ห้องนั้นมีอุณหภูมิลดลง เพื่อได้อากาศที่เย็นสบาย การนำเครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภทที่ให้ความร้อน ไปใช้ในห้องนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้แอร์ ต้องทำงานหนักขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น การปรุงอาหารด้วยกระทะไฟฟ้า การใช้หม้อต้มน้ำร้อน หรือจะเป็นการใช้เตารีดก็ตาม ซึ่งถ้าหากหลีกเลี่ยงได้ ก็จะเป็นการช่วยให้เครื่องปรับอากาศ ทำงานลดลงได้เยอะเลย และที่สำคัญเราควรหลีกเลี่ยงใช้แอร์ในห้องพื้นที่เปิด


เพราะการเปิดแอร์ในห้องที่เปิดโล่งอย่างห้องโถง ที่มีทางขึ้นบันได ทางเดินไปห้องอื่นๆ ไม่มีประตูกั้น นอกจากแอร์ไม่ค่อยเย็นแล้ว ยังทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติและค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น จึงควรเปิดแอร์ในห้องที่เป็นพื้นที่ปิด หรือถ้าจำเป็นต้องใช้แอร์ในห้องโถงจริงๆ ก็ควรติดตั้งฉากกั้นพื้นที่แบบเปิดปิด กั้นทางขึ้นบันได และทางเดินไปห้องอื่นๆ รวมถึงปิดหน้าต่าง ม่านให้เรียบร้อย


ซึ่งม่านก็ช่วยลดอุณหภูมิจากแสงดอาทิตย์ภายนอก แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดพลังงานและค่าไฟได้เยอะเลยทีเดียว หรือจะใช้อีกหนึ่งที่หลายบ้านมักจะทำกันนั่นก็คือ การใช้พัดลมช่วย เพราะการเปิดพัดลมไล่ความร้อนในห้องก่อนเปิดแอร์จะช่วยลดความอุณหภูมิความร้อนภายในห้อง ทำให้ตอนเปิดแอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก ยิ่งถ้าเปิดพัดลมช่วยในระหว่างที่เปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วห้อง และถึงแม้จะปรับอุณหภูมิเพิ่มเป็น 26-27 องศา การเปิดพัดลมช่วยจะทำให้แอร์เย็นสบายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือประหยัดไฟกว่าเดิมได้


ทั้งนี้ ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม หรือก่อนติดตั้งควรดูจากหลายปัจจัยที่จะทำให้แอร์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในอาคาร สำนักงาน หรือในบ้าน  ก็สามารถปรึกษาเราได้


ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

9
จัดฟันบางนา: การเตรียมตัวเมื่อเด็กฟันเริ่มงอกป้องกันการเกิดปัญหาการผิดปกติในฟันของลูกน้อย

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กถือว่า เป็นสุขอนามัยในเบื้องต้นที่เด็กจะต้องเรียนรู้ถึงวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เข้าใจและใส่ใจที่จะดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันได้ด้วยตัวเอง สอนให้เขาเรียนรู้และทราบถึงปัญหาฟันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

แน่นอนว่า ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก และไม่แนะนำวิธีการดูแลรักษาฟันอย่างถูกวิธีให้ลูกน้อย ก็จะทำให้เด็กไม่เห้นถึงความสำคัญของสุขภาพฟันและอาจจะทำความสะอาดฟันได้ไม่ถูกวิธีด้วย หมายความว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะสอนเด็กให้รู้จักวิธีการแปนงฟันอย่างถูกต้อง ปลูกฝังเด็กตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตั้งแต่เด็กเริ่มมีฟันน้ำนมงอกออกมา อย่ามองว่า ฟันน้ำนมของเด็กไม่มีความสำคัญ เพราะนั่นถือว่าเป้นความคิดที่ผิดที่จะส่งผลให้เด็กมีปัญหาการขึ้นของฟันแท้ในอนาคตได้  ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอก เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาความผิดปกติของฟันในเด็ก ซึ่งถ้าหากมีปัญหาฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม แน่นอนฟันแท้จะต้องมีปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนอื่นทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กก่อน เพื่อให้ผู้ปกครองหลายๆท่านที่อาจจะยังไม่เข้าใจกระบวนการของการจัดฟันในเด็ก ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถทำได้เมื่อมีฟันแท้ขึ้นบางส่วนในช่องปาก หรือที่เรียกว่า ฟันผสม และการจัดฟันในเด็กก็ต้องใช้รักษาฟันของเด็กที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน หรือตำแหน่งขากรรไกรที่ผิดปกติ ซึ่งการจัดฟันในเด็กจะต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครองเป็นสำคัญ อีกทั้งยังต้องมีการดูแลช่องปากเป็นอย่างดีด้วย สำหรับการเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฟันในอนาคตได้นั้น เริ่มจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะสอนหรือแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปาก เพื่อขจัดคราบเศษอาหารหรือคราบสกปรกต่างๆที่เป็นสาเหตุของการเกิดคราบหินปูน

เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุ และควรบอกให้เด็กเข้าใจถึงปัญหาฟัน เมื่อเด็กมีปัญหาฟันจะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความยากขึ้น ถ้าหากในวัยเด็ก ก็อาจจะทำให้เกิดการโดนเพื่อนล้อ หรืออาจจะทำให้เสียความมั่นใจ กลาบเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก หรือแม้กระทั่งส่งผลให้เกิดปัญหาการบดเคี้ยวอาหาร ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเด็กได้ ดังน้ัน นี่คือการเตรียมตัวในเบื้องต้นที่จะสามารถช่วยให้เด็ก มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้ โดยเริ่มจากพ่อแม่ควรสอดส่องดูแล หมั่นสังเกตพฤติกรรมในวัยเด็กของลูก เพราะพฤติกรรมในวัยเด็ก ล้วนส่งผลต่อสุขภพช่องปากและฟันได้ทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป้นสุขอนามัยในเบื้องต้นที่เด็กจะต้องเอาใจใส่และเติบโตมาเพื่อเป้นผู้ใหญ่ที่มีฟันที่แข็งแรง สวยงามและสุขภาพดี ทั้งหมดนี้ก็คือ การเตรียมตัวเมื่อเด็กเริ่มมีฟันงอกออกมา สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะหยิบคำแนะนำดังกล่าวของทางคลินิกของเรา เพื่อไปเป็นแนวทางการสร้างความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ก็สามารถนำไปปรับใช้กับเด็กได้

 ถ้าหากหากให้เด็กหรือบุตรหลานของท่านมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา เพราะทางเรามีทันตแพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทันตกรรมในเด็ก สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำได้อย่างตรงจุด หรือเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกันฟัน และอยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำและเข้ารับการตรวจประเมินในเบื้องต้นได้ เพราะเราก็มีทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันในเด้กมาอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงกับปัญหาของเด็ได้อย่างแน่นอน เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับบริการทุกคน เพื่อที่จะได้ทีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ



10
เที่ยววัดกรุงเทพฯ ชม 9 วัดพระประธานแปลก ที่คุณไม่ควรพลาด

เมืองไทยเมืองแห่งพุทธศาสนา "วัด" จึงเป็นพุทธศาสนสถานที่ชาวพุทธอย่างเราใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปด้วย แค่ในกรุงเทพฯ ก็มีวัดสวยงามมากมาย ทั้งวัดเก่าและวัดที่สร้างขึ้นมาใหม่ รวมถึงการเที่ยวชมพระประธานประจำพระอุโบสถ ที่แต่ละวัดล้วนงดงามด้วยเอกลักษณ์ทางศิลปกรรมของวัดนั้น เหมือนกับที่ คุณ

              9 วัดพระประธานแปลก ในเขตกรุงเทพมหานคร

          กระทู้รีวิววันนี้ไม่ใช่กระทู้ท่องเที่ยวที่ไปมาสด ๆ ร้อน ๆ แต่เป็นการสรุปรวมจากหลาย ๆ วัดที่ผมไปเที่ยวมา ซึ่งแต่แรกผมก็ไม่ค่อยสนใจในการเที่ยววัดเท่าไร จนช่วงปี 1 (ปี 2554) เป็นช่วงที่ผมเพิ่งมีกล้องถ่ายรูปส่วนตัวไม่นานนัก และมหาวิทยาลัยผมมันก็อยู่ใกล้กับวัดสระเกศฯ รวมไปถึงสามารถเดินทางไปยังวัดสำคัญ ๆ ในกรุงเทพมหานครหลายวัดได้โดยสะดวก นับตั้งแต่วันที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวถ่ายรูปภูเขาทองที่วัดสระเกศฯ ก็ทำให้ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวตามวัดหรือแหล่งประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งขณะที่ผมกำลังตั้งกระทู้นี้อยู่ผมไปเที่ยวมาแล้ว 555 วัด (เลขสวยซะด้วย)

          และจากการที่ผมไปเที่ยวมาหลายวัดก็ทำให้ผมได้พบกับหลายวัดที่มีพระประธานสวยงาม หรือปางแปลก ๆ ประดิษฐานอยู่ โดยที่บางวัดอาจจะเป็นวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จัก หากแต่ถ้าได้เข้ามาชมแล้วก็จะได้พบกับสิ่งสวยงามที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่

          **หัวกระทู้เขียนว่าวัดพระประธานแปลกก็จริง แต่บางวัดก็ไม่เชิงว่าแปลก แต่แค่ไม่ค่อยพบพระพุทธรูปปางนี้เป็นพระประธานในโบสถ์ นั่นแหละครับคือสิ่งที่ว่าแปลก หรือบางวัดก็เป็นวัดที่พระประธานมีความสวยงามน่าชมมาก**

1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เขตธนบุรี

          วัดนี้เป็นอีกวัดสำคัญวัดหนึ่งในฝั่งธนบุรี สร้างโดย เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ที่ได้อุทิศบ้านและที่ดินบริเวณนั้นสร้างเป็นวัด แล้วถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ส่วนใหญ่ผู้ที่มาวัดนี้ก็มักจะกราบสักการะ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือ "หลวงพ่อโตซำปอกง" แต่มีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าในพระอุโบสถของวัดนี้มีความแปลกกว่าวัดอื่นตรงที่พระประธานเป็นปางปาลิไลยก์ ซึ่งวัดโดยส่วนมากจะมีพระประธานเป็นปางสมาธิหรือปางมารวิชัย นอกจากที่วัดกัลยาณมิตรแห่งนี้แล้ว ในกรุงเทพฯ ยังมีอีกหนึ่งวัดที่มีพระประธานเป็นปางปาลิไลยก์เช่นกัน นั่นคือ "วัดบางขุนเทียนใน" เขตจอมทอง

          ประวัติของพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์นั้นมีว่าครั้งหนึ่งเหล่าคณะสงฆ์ได้เกิดทะเลาะวิวาทกัน ทำให้พระพุทธเจ้าทรงหลีกหนีไปประทับในป่าแถบหมู่บ้านปาลิไลยกะ ในเวลานั้นได้มีช้างนามว่าปาลิไลยก์นำน้ำร้อนมาถวายพระพุทธเจ้า และยังมีลิงอีกตัวหนึ่งนำรวงผึ้งมาถวาย เมื่อลิงเห็นพระพุทธเจ้าเสวยรวงผึ้งที่ตนนำมาถวายก็ดีใจมากจนก้าวพลาดตกจากต้นไม้ถูกไม้แหลมเสียบอกตาย ภายหลังได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร ต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากป่าแล้ว ช้างปาลิไลยก์ก็เสียใจมากจนดวงใจแตกสลายขาดใจตาย ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทำนายว่าในภายภาคหน้า ช้างปาลิไลยก์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระสุมงคลพุทธเจ้า

          สำหรับพระประธานในพระอุโบสถวัดกัลยาณมิตรนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ที่กำลังจะสร้างพระประธานในพระอุโบสถวัดนี้ โดยพระอุโบสถจะเปิดให้เข้าสักการะพระประธานในทุกวันพระ

2. วัดอินทารามวรวิหาร เขตธนบุรี

          วัดต่อไปเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในฝั่งธนบุรี คือ "วัดอินทารามวรวิหาร" เดิมชื่อ "วัดบางยี่เรือใต้" มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพอพระราชหฤทัยในวัดนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ในสมัยกรุงธนบุรีวัดนี้ถือเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วย และวัดนี้ยังเคยเป็นที่ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพกรมพระเทพามาตย์ พระราชชนนีของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั่นเอง

          หลังสิ้นกรุงธนบุรี วัดนี้ก็ถูกทิ้งร้าง จนเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นขุนคลังแก้วในสมัยนั้นได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ทั้งยังสร้างพระอุโบสถหลังใหม่แล้วถวายเป็นพระอารามหลวงแด่รัชกาลที่ 3 แต่ถูกลดชั้นลงมาเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี สิ่งสำคัญในวัดนี้คือมีพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และกรมหลวงบาทบริจาริกา (สอน) พระมเหสีในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

          พระพุทธรูปที่แปลกในวัดนี้ไม่ใช่พระประธานในพระอุโบสถครับ แต่จะประดิษฐานในส่วนที่เรียกว่ากุฏิพุทธองค์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 หลัง แต่มีอยู่ 2 หลังที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางที่แปลกและหายาก

          องค์แรกคือ "พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง" ลักษณะเป็นหีบพระบรมศพและมีพระบาทยื่นออกมา มีพระสงฆ์ 3 รูปกราบสักการะ ซึ่งพระสงฆ์ที่อยู่หน้าสุดก็คือพระมหากัสสปะ โดยมีที่มาจากพุทธประวัติ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานและกำลังจะมีพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ก็ปรากฏว่าไม่สามารถจุดไฟให้ติดได้ ทำให้ผู้คนคิดว่าคงต้องรอให้พระมหากัสสปะที่กำลังอยู่ในระหว่างธุดงค์มาร่วมพิธี ครั้นพระมหากัสสปะมาถึงแล้วได้ก้มลงกราบสักการะพระบรมศพของพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏว่าพระบาทได้ยื่นออกมาจากหีบพระบรมศพ (หรือผ้าห่อพระบรมศพ) คล้ายจะรับการสักการะจากพระมหากัสสปะ แล้วไฟก็ลุกขึ้นมาเองเป็นที่น่าอัศจรรย์

          ต่อจากนั้นเราจะไปชมในกุฏิพุทธองค์อีกหลังหนึ่ง ซึ่งภายในประดิษฐาน "พระพุทธไสยาสน์ตะแคงซ้าย" โดยปกติแล้วพระพุทธไสยาสน์หรือพระนอนจะตะแคงด้านขวา มีที่มาจากพุทธประวัติในตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ คือพระพุทธเจ้าได้เนรมิตพระองค์เองขึ้นอีกพระองค์หนึ่ง และแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง เช่น ถาม-ตอบข้อธรรมะด้วยกัน หรือแสดงปาฏิหาริย์กันไปเป็นคู่ ๆ เช่น พระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้ประทับในท่าตะแคงขวา พระพุทธเจ้าที่เป็นองค์เนรมิตก็ตะแคงไปทางซ้ายตรงข้ามกัน เป็นต้น

3. วัดราชคฤห์วรวิหาร เขตธนบุรี

          วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากวัดอินทารามวรวิหารนัก โดยวัดนี้สร้างมาตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงธนบุรี โดยนายกองมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย ต่อมาพระยาพิชัยดาบหักได้บูรณปฏิสังขรณ์และสร้างพระอุโบสถ (ปัจจุบันคือพระวิหาร) ขึ้น และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนามว่า "วัดราชคฤห์วรวิหาร"

          พระพุทธรูปปางแปลกในวัดนี้คือ "หลวงพ่อนอนหงาย" หรือ "หลวงพ่อประสบสุข" เป็นพระพุทธรูปนอนหงาย ซึ่งก็คือพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง มีที่มาเหมือนกับพระปางถวายพระเพลิงที่วัดอินทารามวรวิหาร สำหรับประวัติพระนอนองค์นี้มีอยู่ 2 แนวทาง คือ

          1. ชาวเมืองธนบุรีซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยาประสบความเดือดร้อนจากโรคระบาด จึงกราบทูลสมเด็จพระเอกาทศรถ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้น พร้อมกับหาฤกษ์วางเสาหลักเมืองใหม่ด้วย

          2. พระยาพิชัยดาบหักสร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนทหารและชาวบ้านที่ตายในสงคราม

4. วัดนางนองวรวิหาร เขตจอมทอง

          เรายังอยู่ในฝั่งธนบุรีกันอยู่ คราวนี้เราจะไปกันที่วัดนางนองวรวิหาร เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ ทำให้พระอุโบสถ พระวิหาร ศิลปกรรมต่าง ๆ ภายในวัดเป็นแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือมีศิลปะแบบจีนผสมผสานอยู่

          สิ่งสำคัญในวัดนี้คือพระประธานในพระอุโบสถที่มีนามว่า "พระพุทธมหาจักรพรรดิ" เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระจักรพรรดิราช ซึ่งก็มีที่มาจากพุทธประวัติในตอนปราบพญาชมพูบดี ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่หลงใหลในทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ ความสวยงามอลังการของปราสาทราชวัง หากพบกษัตริย์เมืองใดที่มีปราสาทราชวังสวยกว่าก็จะใช้ศรวิเศษยิงไปร้อยหูเพื่อคุมตัวมากราบสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าพิมพิสารได้ถูกพญาชมพูบดีคุกคาม จึงมาร้องขอให้พระพุทธเจ้าทรงช่วย พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตพระองค์เองเป็นพระเจ้าราชาธิราช เนรมิตพระสาวกทั้งหลายเป็นขุนนางอำมาตย์ เนรมิตพระเวฬุวันมหาวิหารเป็นปราสาทราชวังที่สวยงามยิ่งกว่าของพญาชมพูบดี ครั้นพญาชมพูบดีมาถึงได้พยายามเล่นงานพระพุทธเจ้าด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าจึงกลับคืนร่างเดิมและเทศนาพญาชมพูบดีจนเกิดดวงตาเห็นธรรม

          หรืออีกตำนานก็ว่ากันว่าพระพุทธรูปปางทรงเครื่องแบบพระจักรพรรดิราชนี้ หมายถึงพระศรีอาริยเมตไตรยที่ขณะนี้อยู่บนสวรรค์เพื่อรอการจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

          พระพุทธมหาจักรพรรดิ พระประธานในพระอุโบสถวัดนางนองนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เครื่องทรงสามารถถอดแยกจากองค์พระได้ ซึ่งรัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้นำเอามงกุฎของพระพุทธมหาจักรพรรดิไปไว้บนยอดนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณฯ แล้วสร้างมงกุฎองค์ใหม่ถวายแทน ซึ่งบ้างก็ว่าการที่รัชกาลที่ 3 ทรงทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะทรงบอกเป็นนัย ๆ ว่า มีพระประสงค์จะให้เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4) ได้ครองราชย์สืบต่อจากพระองค์ แต่บ้างก็ว่าเป็นธรรมเนียมแต่โบราณอยู่แล้วสำหรับการนำมงกุฎไปไว้บนยอดเจดีย์หรือยอดพระปรางค์


5. วัดเศวตฉัตรวรวิหาร เขตคลองสาน

          วัดนี้เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่  2 ต่อรัชกาลที่ 3 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฉัตร กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ได้มีการย้ายและปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่

          สำหรับความแปลกของวัดนี้คือมีพระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก และองค์พระก็อยู่ในท่าของปางมารวิชัยด้วย นามของพระประธานองค์นี้คือ "พระพุทธอังคีรสมุนีนาถ อุรคอาสน์บัลลังก์" (อุรค แปลว่า งู ในที่นี้หมายถึงพญานาค)

          นอกจากนี้แล้วในวัดนี้ยังมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ที่อยู่กลางแจ้งนามว่า "พระพุทธบัณฑูรมูลประดิษฐ์สถิตไสยาสน์" สร้างโดยพระครูวินัยสังวร (มูล) เจ้าอาวาสรูปแรกหลังจากที่กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ย้ายวัดมาอยู่ในที่ปัจจุบันสร้างขึ้น


6. วัดสุทธาราม เขตคลองสาน

          เป็นวัดที่ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2411 (ตรงกับปีแรกที่รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์) พระแปลกในวัดนี้ไม่ได้ประดิษฐานในวิหารหรือในโบสถ์ใด ๆ แต่ที่ด้านข้างอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางที่เรียกว่า "ปางพยาบาลภิกษุอาพาธ"

          มีที่มาจากในพุทธประวัติ ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงพบกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่อาพาธหนัก ท้องเสียอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีพระภิกษุรูปใดช่วยดูแลเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงเข้าไปประคองพระภิกษุรูปนั้น พร้อมกับตรัสให้เหล่าภิกษุสงฆ์ต้องดูแลกันให้ดี


7. วัดทองศาลางาม เขตภาษีเจริญ

          เป็นวัดที่ไม่ปรากฏประวัติว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่สิ่งที่แปลกของวัดนี้คือพระประธานในอุโบสถอีกแล้วครับ ซึ่งพระประธานในโบสถ์ของวัดนี้เป็นปางแสดงปฐมเทศนา โดยมาจากพุทธประวัติในตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็มีพระดำริที่จะไปแสดงธรรมโปรดอุทกดาบสและอาฬารดาบส ซึ่งเป็นพระอาจารย์ในช่วงก่อนตรัสรู้ แต่ท่านทั้งสองก็สิ้นชีวิตไปแล้ว ทำให้พระพุทธเจ้าทรงรำลึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่ปรนนิบัติในช่วงที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา จึงเสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่ปัญจวัคคีย์พำนักอยู่ และแสดงปฐมเทศนาจนโกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา


8. วัดเครือวัลย์วรวิหาร เขตบางกอกใหญ่

          วัดนี้อยู่ใกล้กับวัดอรุณฯ ปัจจุบันเป็นฌาปนสถานกองทัพเรือด้วย สร้างโดย เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธุ์) และเจ้าจอมเครือวัลย์ ในรัชกาลที่ 3 ผู้เป็นธิดา ในวัดมีเจดีย์สามองค์ที่บรรจุอัฐิของคนในตระกูลบุณยรัตพันธุ์ด้วย

          สิ่งน่าชมในวัดนี้คือพระประธานในพระอุโบสถที่เป็นปางห้ามญาติ ถือว่าแปลกมากที่มีพระประธานในพระอุโบสถเป็นปางยืน โดยลักษณะของพระประธานนั้นมีความคล้ายกับพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่วัดพระปฐมเจดีย์ จิตรกรรมฝาผนังก็เป็นเรื่องพระเจ้า 500 ชาติ ผมเคยทราบจากพระรูปหนึ่งในวัดว่าพระประธานมีนามว่าพระสรรเพชญ์ ซึ่งหากอยากจะเข้ากราบสักการะพระประธานสามารถไปได้ในเวลา 5 โมงเย็น ที่พระสงฆ์ทำวัตร


9. วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์

          ข้ามไปฝั่งพระนครกันบ้างครับ คือวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ก็โปรดเกล้าฯ ให้เหล่าคนจีนที่เดิมอาศัยอยู่ในบริเวณที่เป็นพระบรมมหาราชวังในปัจจุบันย้ายไปอยู่บริเวณสำเพ็ง หลังจากนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระอนุชา บูรณปฏิสังขรณ์วัดปทุมคงคาแห่งนี้ขึ้นใหม่ ว่ากันว่าในสมัยนั้นหากมีช้างต้นในพระบรมมหาราชวังล้มลงก็จะมีการนำอัฐิมาลอยอังคารที่หน้าวัดนี้

          พระประธานในพระอุโบสถวัดนี้ มีนามว่า "พระพุทธมหาชนก" เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบจักรพรรดิราชเหมือนพระประธานวัดนางนอง ว่ากันว่าเดิมเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยธรรมดา แต่ก็มีการดัดแปลงให้เป็นปางทรงเครื่องแบบจักรพรรดิราช

11
รถยนต์ไฟฟ้า 2024: ปอร์เช่ Porsche Macan Standard ปี 2024
4,990,000 บาท 

ปอร์เช่ Porsche Macan Standard ปี 2024
Porsche Macan ยนตรกรรมสปอร์ต SUV พลังงานไฟฟ้ารุ่นที่ 2 จะผลิตกำลังโอเวอร์บูสต์ได้สูงถึง 265 กิโลวัตต์ หรือ 360 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งไปถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา 5.7 วินาที และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่อยู่ใต้ท้องรถ โดยมีความจุรวม 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถรองรับการชาร์จไฟกระแสตรง (DC) สูงถึง 270 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่ 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณ 21 นาที


สนใจรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อที่โชว์รูม และศูนย์บริการของ ปอร์เช่ประเทศไทย โดย เอเอเอสกรุ๊ป ได้ทั้ง 4 สาขา Porsche Centre Bangkok โทร 02-522-6655, Porsche Centre Pattanakarn โทร 02-369-1111, Porsche Studio Siam Paragon ชั้น 2 โทร 02-610-9911 และ Porsche Studio Bangkok ICONSIAM ชั้น 1 โทร 02-288-0911

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Porsche
   รุ่น                      ปอร์เช่ Porsche Macan Standard ปี 2024
   ประเภทรถ             รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว             2024
   ราคา                   4,990,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (เสกิร์ตข้าง,ดิฟฟิวเซอร์หลัง)
สปอยเลอร์หลัง (ปรับได้)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
กระจกกรองแสง
ไฟตัดหมอก
ระบบไล่ฝ้ากระจกหน้าต่าง
ไฟหน้าส่องสว่างอัตโนมัติ
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ขนาดยางหน้า-หลัง (หน้า : 235/55 ZR 20 หลัง : 285/45 ZR 20)
ราวหลังคา (ดำ)
ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (ทำงานอัตโนมัติ)
ไฟหน้า LED (LED Matrix)
ไฟ Daytime Running Lights (four-point daytime running lights)
ล้ออัลลอย (20 นิ้ว)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ระบบจดจำปรับที่นั่งคนขับ
ระบบนำทาง (Navigator)
ตกแต่งภายใน (หนังแท้สลับโครมเมี่ยม)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
ภายในโทนสีเทา
กระจกมองหลังตัดแสง
หัวเกียร์หุ้มหนัง

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                  มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ที่ด้านหลัง มีความเร็วสูงสุดที่ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์                   Single-Speed transmission
   ระบบเบรค ABS              มี
   ชนิดแบตเตอรี่                ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่             100 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง      641 กม. (WLTP)
   น้ำหนักตัวรถ                        2,220 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                   -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                      ล้ออัลลอย (20 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ระบบรักษาเสถียรภาพของรถ Porsche Stability Management (PSM))
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีดำ)
เซ็นทรัลล็อค
สัญญาณกันขโมย
กุญแจรีโมท
กุญแจนิรภัย
ล็อคประตูอัตโนมัติ
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ
ระบบแจ้งอุปกรณ์ทำงานขัดข้อง
ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์
ระบบป้องกันการโจรกรรม
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPM),ระบบช่วยจอด (หน้าและหลัง) พร้อมกล้องถอยหลัง, ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ, ระบบช่วยทางแยก)
เข็มขัดนิรภัย
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก

12
all new mitsubishi triton 2024: บั้นท้าย Mitsubishi Triton Big Minor Change แกร่งและหรูลงตัวในคันเดียว

ล่าสุดสมาชิกคลับ New Triton Club ที่ชื่อ Ken Chiro Raoh Toki เผยภาพด้านท้ายของเจ้ากระบะปรับหล่อค่ายทรีไดมอนด์ออกมาให้ชมกัน งานนี้ไฟท้ายคาดจะใช้แบบ LED ดีไซน์คล้ายกับอเนกประสงค์หรู Mitsibishi Pajero Sport พร้อมกันชนท้ายออกแบบใหม่เน้นความเรียบง่าย และแข็งแกร่งในการใช้งาน

Mitsubishi Triton Big Minor Change มาพร้อมแนวคิด “แกร่ง ลุยทุกอุปสรรค - Engineered Beyond Tough” เหนือชั้นครับครันทั้งสมรรถนะ การใช้งาน ความแกร่ง ความปลอดภัย รวมถึงความหรูเหนือระดับด้วยหน้าตาแนวเดียวกับรุ่น Xpander นั่นคือ Advanced Dynamic Shield ตั้งแต่ชุดดกระจังหน้ารวมถึงไฟหน้าอาจใช้โคมเดียวกับรุ่น Pajero Sport รองรับกันชหน้าแบบสปอร์ตแบบเดียวกับรุ่น Xpander ซุ้มล้อทั้งหน้าและหลังออกแบบใหม่ในสไตล์ Built-IN กลมกลืนไม่มีคิ้วขอบล้อเสริมอีกต่อไปถึงแม้จะใช้แพลตฟอร์มเจนปัจจุบัน

ด้านขุมพลังยังใช้บริการเจ้าเดิม นั่นคือ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน Mitsubishi 4N15 Mivec Clean Diesel 2.4 ลิตร 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที พร้อม เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติมีแนวโน้มจะเป็น 6 สปีด ลูกใหม่ ทางด้านเครื่องยนต์แรงดีเซลเทอร์โบแปรผัน 4D56 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 178 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ในรุ่นตอนเดียวขับสี่ ทั้งเกียร์อัตโนมัติและธรรมดา 5 สปีด ลุ้นว่าจะยังจำหน่ายต่อหรือไม่ โดยทุกขนาดเครื่องยนต์มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสองล้อ และ สี่ล้อแบบ Easy Select 4WD และ Super Select 4WD II กับ ระบบเฟืองท้ายแบบ Diff-lock

ความปลอดภัยยกชุดจาก Mitsubishi Pajero Sport ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System- FCM) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) สัญญาณกะระยะจอดด้านหน้า – หลัง กล้องมองภาพรอบคัน ฯลฯ Mitsubishi Triton Big Minor Change จะเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย 9 พฤศจิกายน

13
money expo: กู้ซื้อบ้านมือสอง ดอกเบี้ยเงินกู้แบงก์ไหนดี

ใครๆ ก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งบ้านหรือคอนโดก็มีตัวเลือกเยอะแยะไปหมดเลยล่ะค่ะ ทั้งมือหนึ่ง และมือสอง วันนี้ขอพูดถึงข้อมูลสำหรับคนกำลังมองหาบ้านมือสอง เพราะจริงๆ แล้วบ้านมือสองค่อนข้างจะโดดเด่นในเรื่องทำเล บางโครงการอยู่กลางเมืองที่เดินทางสะดวกกว่าบ้านมือหนึ่งที่อยู่ชานเมืองเสียอีก แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยการซ่อมแซมครั้งใหญ่ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง... ลองไปดูกันค่ะว่าหากจะกู้ซื้อบ้านมือสอง ดอกเบี้ยเงินกู้แบงก์ไหนดี รวมถึงวิธีเตรียมพร้อมก่อนซื้อบ้านหรือคอนโดมือสองแบบง่ายๆ กันค่ะ


เช็กข้อควรรู้ก่อนซื้อบ้านมือสอง
 
1. สินเชื่อบ้านมือสองไม่ได้วงเงินเต็ม 100%
ธนาคารส่วนใหญ่จะให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 80 – 90% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน ต่างจากบ้านมือหนึ่งที่มีโอกาสได้เต็ม 100%
 
2. ไม่สามารถผ่อนดาวน์ได้
ต้องเตรียมเงินสดไว้ ประมาณ 5 – 20 % ของราคาซื้อขายบ้าน สำหรับวันที่นัดไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์
 
3. การซื้อบ้านมือสองมีขั้นตอนมากกว่าซื้อบ้านมือหนึ่ง
ก่อนขอสินเชื่อ - ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องเจรจาเพื่อตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายเอง
หากบ้านติดจำนองกับธนาคาร-  เจ้าของสินทรัพย์หรือผู้ขายจะต้องไถ่ถอนจำนองกับธนาคารที่ติดจำนองอยู่ก่อน
การโอนกรรมสิทธิ์ - ผู้ซื้อ ผู้ขาย และธนาคารจะต้องทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ให้สำเร็จภายในวันเดียว รวมไปถึงเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน, มิเตอร์น้ำ – ไฟ ให้เรียบร้อย การซื้อขายจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์
 
4. ต้องตกลงค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายให้ดี
ค่าธรรมเนียมการโอน 2% (แบ่งกันชำระได้ตามตกลง)
ค่าอากรแสตมป์ 0.5% หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% (ควรเป็นภาระของผู้ขาย)
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ควรเป็นภาระของผู้ขาย)
ค่าจดจำนอง 1%  (ควรเป็นภาระของผู้ซื้อ)

5. ควรเตรียมเงินค่าซ่อมแซมบ้าน
การซื้อบ้านมือสอง นอกจากค่าดาวน์ 5 – 20% ก็ควรเตรียมเงินสำรองสำหรับค่าซ่อมแซมบ้านไว้ด้วย เพราะบ้านที่ได้จะเป็นบ้านในสภาพที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และสินเชื่อบ้านมือสองไม่รวมวัตถุประสงค์การซ่อมแซมและต่อเติม
เข้าใจข้อควรรู้ทั้งหมดของการซื้อบ้านมือสองกันแล้วใช่มั้ยคะ สิ่งสำคัญเลยก็คือต้องมีเงินสดไว้สักก้อน และต้องเจรจาพูดคุยกับเจ้าของเก่าให้เรียบร้อยนะคะ อีกเรื่องคืออย่าลืมเช็กข้อมูลสินเชื่อบ้านที่จะกู้ด้วย ว่าตอนนี้ดอกเบี้ยงพุ่งไปเท่าไหร่กันแล้ว เช็กอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านล่าสุดได้เลยค่ะ

14
ปัญหาที่เกิดจากการจัดฟันเด็ก ที่มักพบได้บ่อย

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อย ถือว่ามีความสำคัญมากเพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เด็กจะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นด้วย สำหรับการจัดฟันในเด็ก ก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดฟันในเด็กจะทำได้เมื่อมีฟันแท้ขึ้นบางส่วนภายในช่องปากของเด็ก และเด็กก็มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการจัดฟัน เพื่อทำการแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน รวมไปถึงตำแหน่งของขากรรไกรที่มีความผิดปกติ การจัดฟันในเด็กจะต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กและพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยอีกทั้งเด็กๆ จะต้องมีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเป็นอย่างดี


ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถ แบ่งออกได้เป็นสองระยะนั่นก็คือระยะการจัดฟันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติหรือแก้ไขความผิดปกติบางอย่างที่มีอยู่ให้น้อยลงหรือหายไป และอีกระยะหนึ่งก็คือระยะการจัดฟันแบบแก้ไขทั้งหมด เช่น การจัดฟันแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งการจัดฟันในลักษณะนี้ สามารถพบเจอได้บ่อยเรียกว่าเป็นเทรนยอดฮิตของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ แต่การจัดฟันในรูปแบบนี้ก็มีปัญหามากมายเกิดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงปัญหาที่เกิดจากการจัดฟันในเด็กที่มักพบได้บ่อย หากเราพูดถึงการจัดฟันแน่นอนว่าหลายคนมีอุปสรรคเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่อาจจะไม่ได้รับอาหารเต็มที่ เนื่องจากจะต้องระมัดระวังและต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เพื่อที่จะได้บดเคี้ยวอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่กระทบกระเทือนถึงเครื่องมือการจัดฟันนั่นเอง ปัญหานี้คือเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็มักจะเจอได้บ่อย เพราะฉะนั้น การจัดฟันในเด็กก็อาจจะเจอปัญหาเดียวกัน


สำหรับปัญหาในการจัดฟันในเด็กที่มักพบได้บ่อยนั่นก็คือ ปัญหาการเกิดฟันผุ แน่นอนว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กวัยหรือผู้ใหญ่ แน่นอนว่าในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษเนื่องจากเรามีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก อาจจะทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง การที่เราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควรนั้น เป็นสาเหตุหลักของการเกิดฟันผุ แน่นอนว่าเด็กๆ หลายคนที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กหากไม่ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดของช่องปาก ก็อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนี้ อาจจะยังทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำความสะอาดช่องปากและฟันไม่สะอาดนั่นเอง ในข้อนี้ ถ้าหากเด็กเป็นโรคเหงือกอักเสบเรียกว่าเป็นปัญหาร้ายแรงเลยทีเดียว อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียฟันก่อนวัยอันควรได้


เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบกับทันตแพทย์ เพื่อทำการตรวจฟันหรือถ้าหากจัดฟันอยู่ก็ให้มาพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือนเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันและปรับเครื่องมือการจัดฟันด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าปัญหาหลักๆ ที่อาจจะเกิดได้จากการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก อาจจะเกิดจากการที่เราไม่ดูแลความสะอาดภายในช่องปาก ไม่ดูแลเครื่องมือการจัดฟันและปัญหาอีกข้อหนึ่งที่มักพบได้บ่อยก็คือการสวมใส่รีเทนเนอร์ ที่หลายคนเมื่อจัดฟันเสร็จแล้วกว่าจะละเลยการใส่รีเทนเนอร์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้มีผลต่อการจัดฟันอาจทำให้ฟันมีการย้อนกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่ก่อนจัดฟัน ซึ่งอาจจะต้องทำการจัดฟันซ้ำใหม่อีกรอบ

ทั้งหมดนี้ก็คือปัญหาที่อาจจะเกิดได้จากการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้ดี ควรแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อจะได้ป้องกันการเกิดฟันผุ ขณะจัดฟัน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่เด็กและหลายคนมักจะพบเจอได้บ่อยนั่นเอง สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก คอยให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง และสามารถช่วยแนะนำให้เด็กรู้จักการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากเพื่อที่จะได้ลดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคต เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้เข้าใจในการดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี เพื่อให้เรามีฟันที่แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

15
อาหารสายยาง: อาหารทางการแพทย์ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

การรับประทานอาหาร ถือเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ส่งผลต่อร่างกายซึ่งร่างกายมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารเพื่อให้เกิดพลังงานและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ยิ่งในผู้ป่วยแล้วอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องดูแลเอาใจใส่และต้องระมัดระวังให้มาก เนื่องจากร่างกายผู้ป่วยมีความต้องการสารอาหารไม่เหมือนกับคนทั่วไป ผู้ป่วยบางกรณีอาจจะต้องมีการจำกัดในเรื่องของปริมาณของสารอาหารและอาจต้องมีการหลีกเลี่ยงสารอาหารบางประเภท เพื่อให้อาการป่วยไม่กำเริบขึ้นมา เพราะฉะนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วยต้องมีการดูแลมากเป็นพิเศษ

แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้มีอาหารสำหรับผู้ป่วยมากมาย ยกตัวอย่างเช่น อาหารปั่นผสมที่ใช้ให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้หรือผู้ป่วยที่หมดสติที่ต้องให้อาหารทางสายยางและอาหารทางการแพทย์ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ต้องมีการจำกัดในเรื่องของปริมาณสารอาหาร เพราะอาหารทางการแพทย์มีการจำกัดสูตรเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆซึ่งก็จะมีสูตรที่แตกต่างกันเพราะผู้ป่วยในแต่ละโรคนั้นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณจำกัดและแบบเฉพาะ สำหรับอาหารทางการแพทย์จะต้องใช้ในความควบคุมของแพทย์เท่านั้นและก่อนใช้จะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายไม่เกิดอันตรายหลังจากได้รับอาหารทางการแพทย์ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจรวมไปถึงการรับประทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยเพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี

อาหารทางการแพทย์ สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจควรได้รับสารอาหารที่เหมาะสมทั้งคุณภาพและปริมาณ รวมถึงต้องดูแลสุขภาพตนเองให้มีสุขภาพดีอยู่ตลอด เพราะจะช่วยป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หลีกเลี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน เพราะจะช่วยป้องกันการเก็บพลังงานที่เกินพอในรูปของไขมัน ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วน และไม่ทำให้โรคหลอดเลือดหัวใจตามมาได้ สำหรับพลังงานที่ร่างกายของเราต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 1500 -2500 แคลอรี่ต่อวัน ความต้องการพลังงานในแต่ละวันของแต่ละคนนั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ขนาดของร่างกาย อายุ เพศ แต่สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปความต้องการพื้นฐานประมาณ 25 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อหนึ่งวัน แต่ถ้าหากผู้ที่มีการทำกิจกรรมหรือการทำงานหนักซึ่งต้องการมากกว่า โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละวันประมาณ 45-65% ปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 10-25% และไขมันอยู่ที่ 20-35

ทั้งนี้ ควรบริโภคอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวันซึ่งการรับประทานอาหารจนได้รับพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกายทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆตามมา โดยผู้ป่วยโรคหัวใจควรรับประทานโปรตีนที่มีประเภทไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ที่]อกหนัง เนื้อปลา โดยรับประทานโปรตีนร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่ได้รับและรับประทานคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-60 ของพลังงานที่ได้รับ โดยควรเน้นเป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเช่น ข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ได้ขัดสี นอกจากนี้การรับประทานผลไม้และผักใบเขียวอาหารที่มีเส้นใยสูง ไฟเบอร์สูงเป็นประจำ ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยประมาณ 27-37 กรัมต่อวัน เพราะในผักนอกจากจะมีวิตามินและเกลือแร่แล้วยังมีเส้นใยอาหาร ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายและควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด รวมไปถึงเม้แปรรูปทุกชนิดเพราะจะให้น้ำตาลและพลังงานที่มากจนเกินไป

อย่างที่ทราบกันดีว่าอาหารทางการแพทย์เป็นอาหารสูตรพิเศษ สำหรับความเจ็บปวดเฉพาะที่เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมกับโรค แต่อาหารทางการแพทย์แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการรักษาโรคโดยตรง แต่จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาหารทางการแพทย์นั้นหากเราได้รับประทานเข้าไปแล้วจะไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ซึ่งในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา แต่ถ้าหากร่างกายเรามีความปกติดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารทางการแพทย์ แต่ถ้าหากมีความต้องการที่จะใช้อาหารทางการแพทย์ ก็ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการ

ซึ่งจะได้ทำการพิจารณาว่าควรเลือกใช้อาหารทางการแพทย์ชนิดใดและใช้ขนาดที่ใช้ต่อครั้งในปริมาณเท่าใด เพราะการใช้อาหารทางการแพทย์นั้นจะต้องมีการดูแลจากแพทย์และมีการติดตามผล เพื่อช่วยปรับภาวะทางโภชนาการให้เหมาะสมมากที่สุด โดยสารอาหารส่วนใหญ่ที่มีในอาหารทางการแพทย์หลัก ๆ คือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ซึ่งจะถูกดัดแปลงให้สามารถย่อยได้ง่ายหรือบางชนิดอาจผ่านการย่อยแล้ว เพื่อให้ร่างกายของเราและดูดซึมได้เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยอาหารทางการแพทย์นั้นนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดปัญหาการเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ ไม่ว่าจะในผู้ป่วยผู้สูงอายุหรือบุคคลทั่วไปที่สามารถรับทานอาหารได้น้อย แต่ถ้าหากใช้อาหารทางการแพทย์อยากเหมาะสมและตามคำแนะนำของโภชนาการก็จะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายได้


16
หมอออนไลน์: หูตึง/หูหนวก (Hearing loss/Deafness)

หูตึง (หูหนวก) หมายถึง ภาวะการได้ยินเสียงลดลง อาจเป็นเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้ยินเลย (หูหนวกสนิท)


สาเหตุ

มีสาเหตุได้มากมาย เช่น เยื่อแก้วหูทะลุ, หูชั้นกลางอักเสบ, โรคเมเนียส์, ซิฟิลิส, หูหนวกมาแต่กำเนิด (เช่น ทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด) ซึ่งมักจะมีอาการเป็นใบ้ร่วมด้วย, เนื้องอกสมองหรือเนื้องอกประสาทหู, พิษจากยา (เช่น สเตรปโตไมซิน คาน่าไมซิน เจนตาไมซิน), หูตึงในผู้สูงอายุ, หูตึงจากอาชีพ เป็นต้น

ในที่นี้จะขอกล่าวถึง หูตึงในผู้สูงอายุ และหูตึงจากอาชีพ

    หูตึงในผู้สูงอายุ เกิดจากประสาทหูเสื่อมตามวัย พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าและรุนแรงกว่าผู้หญิง โดยมากจะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป
    หูตึงจากอาชีพ ผู้ที่ทำงานอยู่ในที่ที่มีเสียงดังขนาดมากกว่า 90 เดซิเบลขึ้นไปเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความถี่สูง ๆ (เสียงสูง) มักเกิดอาการหูตึงได้ เนื่องจากเซลล์ประสาทหูถูกคลื่นเสียงทำลาย หากถูกทำลายรุนแรงอย่างถาวร มักไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนดีได้

อาการ

หูตึงในผู้สูงอายุ มีอาการหูอื้อ หูตึง การได้ยินแย่ลง ซึ่งมักจะค่อยเป็นมากขึ้นทีละน้อย ช่วงแรกยังได้ยินเสียงตะโกนดัง ๆ เมื่อเป็นรุนแรงขึ้นจะไม่ได้ยินเสียงคนพูด ทำให้มีปัญหาในการสื่อสาร

หูตึงจากอาชีพ ผู้ป่วยมักจะเริ่มจากการได้ยินเสียงสูง (เช่น เสียงกระดิ่ง) สู้เสียงต่ำ (เช่น เสียงเคาะประตู) ไม่ได้ ถ้ายังคงทำงานอยู่ในที่ที่เสียงดังเช่นเดิม อาการหูตึงจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นจนถึงขั้นหูหนวกได้ แต่ถ้าเลิกทำงานในที่ที่เสียงดัง ๆ อาการหูตึงจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ที่มีอาการหูตึงมาก ๆ มีความลำบากในการสื่อสารกับผู้คน อาจทำให้มีปมด้อย ไม่กล้าออกสังคม มีความวิตกกังวล หรืออารมณ์ซึมเศร้าได้

ทารกที่มีหูตึงมาแต่กำเนิด มีโอกาสเป็นใบ้ร่วมด้วย


การวินิจฉัย

สำหรับหูตึงในผู้สูงอายุ และหูตึงจากอาชีพ แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากการที่ผู้ป่วยมีอาการหูตึง โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ และการตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติทางร่างกายและโครงสร้างภายนอกของหู แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการใช้เครื่องมือตรวจการได้ยิน พบว่าสมรรถนะของการได้ยินลดลงซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสื่อมของประสาทหู

ในบางกรณี แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะสาเหตุให้ชัดเจน เช่น การตรวจเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

อาการหูตึง แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ ถ้าเกิดจากหูชั้นกลางอักเสบจากการติดเชื้อ ให้ยารักษาภาวะติดเชื้ออักเสบ, แก้วหูทะลุ ก็อาจรักษาด้วยการผ่าตัดแก้ไข เป็นต้น

หูตึงในผู้สูงอายุ และหูตึงจากอาชีพ ซึ่งเกิดจากประสาทหูเสื่อม ไม่มียารักษา หากมีอาการหูตึงหูนวกรุนแรง ก็จะแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยฟัง


การดูแลตนเอง

เมื่อเริ่มรู้สึกหูอื้อ หูตึง ความสามารถในการได้ยินแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่ามีอาการหูตึง ไม่ว่าเกิดจากสาเหตุใด ๆ ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำ และติดตามรักษาตามคำแนะนำของแพทย์


การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้หูตึง

สาเหตุบางอย่างป้องกันไม่ได้ เช่น หูตึงในผู้สูงอายุซึ่งเกิดจากความเสื่อมตามวัย โรคเมเนียส์ เนื้องอกประสาทหู เป็นต้น

ส่วนสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น โรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุจากการบาดเจ็บ หูตึงจากพิษยา หูตึงจากอาชีพ มีวิธีป้องกัน ดังนี้

    เมื่อเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ ควรดูแลรักษาให้ได้ผล อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง
    หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู
    สำหรับหูตึงจากอาชีพ อาจป้องกันไม่ให้หูตึงด้วยวิธีดังนี้
        หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เสียงดังนาน
        ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องทำงานในที่ที่มีเสียงดัง ควรสวมเครื่องป้องกันหูขณะที่อยู่ในที่ทำงาน, ควรให้แพทย์ทำการทดสอบการได้ยินเป็นระยะ, หากเริ่มมีอาการหูตึง ควรเลิกทำงานในสถานที่เดิม และย้ายไปทำงานในสถานที่ที่ไม่มีเสียงดัง

ข้อแนะนำ

หูอื้อหรือหูตึงเป็นอาการที่อาจเกิดจากสาเหตุได้หลายประการ หากพบว่ามีอาการหูอื้อ หูตึง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ

17
motor expo 2024: เอ็มจี MG-MAXUS7 X-ปี 2024
1,769,000 บาท 

เอ็มจี MG-MAXUS7 X-ปี 2024
MG MAXUS 7 E-MPV พลังงานไฟฟ้า 100% แบบ 7 ที่นั่ง ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่มครอบครัวสมัยใหม่ ด้วยจุดเด่นที่ยังคงความหรูหราและเหนือระดับของรถในตระกูล MG MAXUS ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคันส่งมอบความสะดวกสบายครบทุกตำแหน่งที่นั่ง มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูล้ำสมัยตามแบบฉบับของ E-MPV ยุคใหม่ ที่เน้นความเรียบหรู ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้พละกำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า (180 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             MG
   รุ่น                  เอ็มจี MG-MAXUS7 X-ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ MPV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา               1,769,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สปอยเลอร์หลัง
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (225 / 55 R18)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ประตูสไลด์ด้านข้างเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมฝาท้ายไฟฟ้า,V2L)
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (อัตโนมัติ)
ไฟหน้า LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (18 นิ้ว​)

   ภายใน
ตกแต่งภายใน (วัสดุ Soft Touch)
พวงมาลัยหุ้มหนัง (ปรับ 4 ทิศทาง)
ภายในโทนสีดำ (-น้ำตาล)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (เบาะนั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat ปรับแบบแมนวล)
พวงมาลัยไฟฟ้า (EPS)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                  มอเตอร์ไฟฟ้าPermanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS              มี
   ชนิดแบตเตอรี่                ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่              90 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       ให้ระยะทางสูงสุด 570 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC
   น้ำหนักตัวรถ                           -
   ประเภทยางรถยนต์                    -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                       ล้ออัลลอย (18 นิ้ว​)
   ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนสี่ล้อ

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (ดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน)
กุญแจนิรภัย
ไฟเบรกดวงที่ 3 (LED)
สัญญาณเตือนถอยหลัง (หน้า-หลัง)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH,ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ พร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ)
อื่นๆ (ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS, ระบบช่วยเตือนการชน FCW และระบบช่วยเบรก AEB)
กล้อง (มองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) ((BSD / RCTA / DOW))
เบรกมือไฟฟ้า (EPB)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX ที่นั่งแถวที่ 2 และ 3)

18
ตรวจสุขภาพ: โรคหัวใจขาดเลือด/โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Ischemic heart disease) โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (Angina pectoris)

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่สงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเพียงชั่วขณะ เป็นบางครั้งบางคราว) แพทย์มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography/ECG/EKG) ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ (ดูว่าเป็นเบาหวาน มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ หรือไม่)

ในกรณีที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจบอกผลได้ไม่ชัดเจน* อาจจำเป็นต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ หรือทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test) โดยการวิ่งบนสายพานหรือปั่นจักรยาน การถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) การถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) เป็นต้น

การรักษา แพทย์จะให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจกลุ่มไนเทรต เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (nitroglycerine) หรือไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) อมใต้ลิ้นทันทีเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบตุบ ๆ ที่ขมับคล้ายไมเกรน เนื่องจากหลอดเลือดที่ขมับขยายตัว บางรายอาจมีอาการเป็นลมขณะลุกขึ้นยืน ดังนั้นเวลาจะอมยากลุ่มนี้ ควรนั่งลงเสียก่อนอย่าอยู่ในท่ายืน

นอกจากนี้ อาจให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดออกฤทธิ์นาน เช่น ไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) ไดไพริดาโมล (dipyridamole) เพนตาอีริไทรทอล (pentaerythritol) เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการ

ผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะให้ยาต้านเกล็ดเลือด ได้แก่ แอสไพริน ขนาด 81-325 มก. วันละครั้ง เพื่อไม่ให้เกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มเกาะที่ผนังหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น ถ้าแพ้แอสไพรินหรือมีข้อห้ามใช้ยานี้อาจให้ไทโคลพิดีน (ticlopidine) 250 มก. วันละ 2 ครั้ง หรือโคลพิโดเกรล (clopidogrel) 75 มก. วันละครั้ง

บางครั้งอาจต้องให้ยาปิดกั้นบีตา ยาต้านแคลเซียม หรือยาต้านเอซ ซึ่งสามารถลดการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และป้องกันการเสียชีวิตได้

ถ้าผู้ป่วยมีโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ต้องให้ยารักษาโรคเหล่านี้ร่วมด้วย

ในรายที่มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อย หรือใช้ยาไม่ได้ผล แพทย์จะทำการสวนหัวใจและฉีดสีถ่ายภาพหลอดเลือดหัวใจ (cardiac catheterization and  angiogram) ถ้าพบว่ามีการอุดกั้นรุนแรงหรือหลายแห่ง ก็จะทำการแก้ไขโดยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (นิยมเรียกว่า การทำบอลลูน)** และใส่หลอดลวดตาข่าย (stent) คาไว้ในหลอดเลือดบริเวณที่ตีบตัน

ในบางครั้งแพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเปิดทางระบาย (ทางเบี่ยง) ของหลอดเลือดหัวใจ (นิยมเรียกว่า การผ่าตัดบายพาส)*** วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ใช้ยารักษาไม่ได้ผล หรือไม่สามารถทำบอลลูนหรือทำบอลลูนไม่ได้ผล

2. ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงหรือต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเป็นวัน ๆ มีภาวะหัวใจวาย ช็อกหรือหมดสติ หรือมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงและบ่อยขึ้นกว่าเดิม หรือมีอาการเจ็บหน้าอกขณะพักหรือออกแรงเพียงเล็กน้อย

แพทย์จะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเลือด (มักพบระดับ creatine kinase-MB และ troponin ในเลือดสูงกว่าปกติในผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน) และตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบไม่คงที่ (unstable angina) ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา ในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แพทย์จะให้แอสไพรินเคี้ยวก่อนกลืน (ถ้ายังไม่ได้รับมาก่อน ซึ่งจะช่วยลดขนาดของลิ่มเลือดที่อุดตัน ช่วยให้รอดชีวิตได้) ให้ยาปิดกั้นบีตา (เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดการทำงานของหัวใจ ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายมากขึ้น) ให้ยาต้านเอซ (เพื่อลดการพองตัวของหัวใจ รักษาภาวะหัวใจวาย ช่วยลดการตายลงได้) ฉีดมอร์ฟีนระงับปวด และให้ออกซิเจน

นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาขั้นต่อไป คือ การให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic  agent ได้แก่ ทีพีเอ (tPA/recombinant tissuetype plasminogen activator) หรือสเตรปโตไคเนส (streptokinase) ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้ภายใน 6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ) หรือไม่ก็อาจพิจารณาทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาสแบบฉุกเฉิน

บางกรณี แพทย์อาจให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม ได้แก่ เฮพารินชนิดน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (low molecular weight heparin/LMWH) เสริมในรายที่ให้ทีพีเอ (tPA) หรือทำบอลลูน

ใน 2-3 วันแรก ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนพักอยู่บนเตียง (ห้ามลงจากเตียง) ผู้ป่วยต้องงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด แพทย์จะให้ยาระบายเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเบ่งถ่ายอุจจาระเพราะท้องผูก ให้ยาจิตประสาทเพื่อควบคุมภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า โดยทั่วไปหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 5-7 วัน เมื่ออาการทุเลาดีแล้ว ก็จะเริ่มทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูสภาพหัวใจให้แข็งแรง และให้ยารักษาแบบเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะอย่างต่อเนื่องต่อไป

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบไม่คงที่ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ให้ยาแบบเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือดทั่วไป รวมทั้งให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (ได้แก่ เฮพาริน) และยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน ไทโคลพิดีน หรือโคลพิโดเกรล) ให้ยาปิดกั้นบีตา และให้ไนโตรกลีเซอรีนชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ ถ้าไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา ก็จะทำการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจและทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค สภาพของผู้ป่วย โรคที่พบร่วม และวิธีรักษา

ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง มักได้ผลการรักษาที่ดี การใช้แอสไพรินสามารถป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และลดการตายลงได้ ส่วนการทำบอลลูนและการผ่าตัดบายพาส ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่รอดปลอดภัยมากขึ้น

ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาไม่สู้ดี ได้แก่ ผู้ป่วยอายุมาก เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น หัวใจวาย)

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่คงที่ ถ้าเริ่มมีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน หรือมีความล่าช้าในการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจและการบำบัดที่เหมาะสม ผลการรักษามักจะไม่ดี

ผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถ้าเป็นรุนแรงหรือกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายปริมาณมาก ก็มักจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหรือทันทีทันใด ในรายที่สามารถมีชีวิตรอดได้ 2-3 วันหลังเกิดอาการก็มักจะฟื้นตัวจนเป็นปกติได้ ซึ่งบางรายอาจกำเริบซ้ำและเสียชีวิตภายใน 3-4 เดือนถึง 1 ปีต่อมา  ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการต่อเนื่อง เช่น เจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราว หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือภาวะหัวใจวาย มักพบอัตราตายและการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หรือมีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว ร่วมด้วย

ส่วนในรายที่ได้รับการทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส มักจะฟื้นสภาพได้ดี และมีชีวิตได้ยืนยาวขึ้น แต่บางรายก็อาจมีหลอดเลือดหัวใจตีบตันซ้ำ ซึ่งอาจต้องทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาสซ้ำ

*การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีความไวในการวินิจฉัยโรคนี้ประมาณร้อยละ 50-75 หมายความว่า ประมาณร้อยละ 50-75 ของผู้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะบอกว่าผิดปกติ และประมาณร้อยละ 25-50 ผลการตรวจจะบอกว่าปกติ เรียกว่า ผลลบลวง (false negative) อาจทำให้วินิจฉัยผิดได้

**การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (percutaneous transluminal coronary angioplasty/PTCA) แพทย์จะใช้สายที่มีบอลลูน (balloon) อยู่ตรงปลาย สอดใส่เข้าหลอดเลือดแดงต้นขา (femoral artery) แล้วแยงขึ้นไปจนเข้าไปตรงบริเวณหลอดเลือดหัวใจที่ตีบตัน แล้วเป่าลมให้บอลลูนพองตัว ดันตะกรันท่อเลือดแดง (atheroma) ให้แฟบและทำการขยายหลอดเลือด

***การผ่าตัดบายพาส (bypass surgery หรือ coronary artery bypass grafting/CABG) เป็นการผ่าตัดโดยนำหลอดเลือดจากส่วนอื่น (เช่น หลอดเลือดขา) ไปต่อเชื่อมระหว่างหลอดเลือดหัวใจ (ส่วนที่ยังไม่มีการตีบตัน) กับหลอดเลือดแดงใหญ่


19
บิ๊กไบค์ บีเอ็มดับเบิลยู BMW F 900 GS Trophy ปี 2024
665,000 บาท 

บีเอ็มดับเบิลยู BMW F 900 GS Trophy ปี 2024
BMW F 900 GS Trophhy เครื่องยนต์ที่ได้รับการอัพเกรดเป็น 2 สูบแถวเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 895 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 77 กิโลวัตต์ / 105 แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 93 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาที เครื่องยนต์นี้ส่งมอบอัตราเร่งที่รวดเร็วและการส่งกำลังที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกสภาพพื้นผิว และด้วยน้ำหนักที่ลดลงไปถึง 14 กิโลกรัมหากเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้ F 900 GS เป็นหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ GS สปอร์ตที่คล่องตัวที่สุด มากับสีขาวตัดฟ้า Lightwhite / Racing Blue Metallic

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์            BMW
   รุ่น                 บีเอ็มดับเบิลยู BMW F 900 GS Trophy ปี 2024
   ประเภทรถ       Adventure Bigbike
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา             665,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์     เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์       6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์       2 สูบ , 2 วาล์ว/สูบ DOHC 105 แรงม้า และแรงบิด 93 นิวตันเมตร
   ระบบระบายความร้อน        น้ำ
   ระบบสตาร์ท                   สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      895 CC
   แบบเครื่องยนต์               4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด               Electronic
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง    เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน             หัวฉีด (อิเล็กทรอนิกส์)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)       14.5 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน             ล้อหน้า โช้คหัวกลับขนาด 43 มม.สามารถตั้งค่า spring pre-load, rebound และ compression, ล้อหลัง สวิงอาร์มอลูมิเนียม Central spring strut สามารถตั้งค่า spring pre-load hydraulically และ rebound damping

   ระบบเบรค                      ล้อหน้า ดิสก์เบรก (ดิสก์เบรกคู่แบบ Floating ขนาด 305 มม. คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ ระบบ ABS:BMW Motorrad ABS PRO), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (ดิสก์เบรคเดี่ยว ขนาด 265 มม. คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ ระบบ ABS:BMW Motorrad ABS PRO)
   แบบวงล้อ                      ซี่ลวด
   ขนาดยาง                      ล้อหน้า 90/90-21, ล้อหลัง 150/70 R17
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)  2,270 x 943 x 1,393
   น้ำหนักตัวรถ                     219.00 กก.

20
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส พิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็ก
 
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟัน สามารถแก้ไขปัญหาฟันไม่สวย ฟันหน้ายื่น ฟันซ้อน ฟันเก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในปัจจุบันการจัดฟันมีราคาที่ค่อนข้างหลากหลาย สามารถเลือกชนิดเครื่องมือได้ตามความเหมาะสม ตามการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล เช่น  จัดฟันแบบโลหะ จัดฟันแบบดามอน หรือจัดฟันแบบใส invisalign โดยเราสามารถศึกษารายละเอียด ก่อนเข้ารับการรักษาได้ หรือทางที่ดีควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันโดยตรง เพื่อที่จะได้เลือกรูปแบบการจัดฟันที่เหมาะสมกับปัญหาของเราจริงๆ แต่ในแง่ของการจัดฟัน

รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากก็คือ การจัดฟันแบบใส เพราะด้วยขั้นตอนและความสะดวกสายในการใช้ชีวิตประจำวัน ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่น เพราะการจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟัน ด้วยเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติก ที่แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งคุณสวมไว้บนฟัน เพื่อให้ฟันเคลื่อนฟันให้เข้าที่อย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของการไว้ได้ในระหว่างการจัดฟันแบบใสได้ตามปกติ แถมยังสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ขระรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเราอีกด้วย ซึ่งถือว่า การจัดฟันแบบใส จะพิเศษกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่นทั้งในเรื่องของความแม่นยำของผลการรักษา การใช้ชีวิตประจำวัน และการรักษาสุขอนามัย นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่ไม่ต้องติดเหล็กจัดฟันและลวด สาเหตุของการระคายเคืองในช่องปากอีกทั้งลดระยะเวลาในการปรับตำแหน่งเครื่องมืออีกด้วย
 
สำหรับวันนี้คลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันแบบใส ที่มีความพิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็ก ซึ่งแน่นอนว่า ใครที่เคยผ่านการจัดฟันมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็คงจะมีประสบการณ์อันยากลำบากที่จะเลี่ยงการเกิดแผลภายในช่องปาก ซึ่งเป้นปัญหาที่ใครหลายคนมักจะพบเจอได้บ่อย แถมในเรื่องของการรับประทานอาหารจะต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อเครื่องมือการจัดฟันด้วย เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบเหล็กอาจจะเกิดหลุดขณะรับประทานอาหารได้ แต่ในการจัดฟันแบบใส

ผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากลาย เนื่องจากสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ขณะรับประทานอาหาร จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟัน นี่ถือเป้นจุดเด่นของการจัดฟันแบบใส ที่ทำให้ใครหลายๆคนเลือกที่จะเข้ารับการจัดฟันในรูปแบบนี้

นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส ยังสามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างสะดวก และมีประสิทธิภาพด้วย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ลดการเกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก ไม่ทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส  ก็คือ เครื่องมือสามารถถอดง่าย ใส่สบาย

และที่สำคัญผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถดูแผนการรักษาในรูปแบบ 3D ได้ ทำให้เห็นภาพการเคลื่อนของฟันอย่างเป็นลำดับต่อเนื่องก่อนเข้ารับการรักษา เพราะทันตแทพย์จะวางแผนการรักษาทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้สามารถออกแบบรอยยิ้มได้ด้วยตนเอง


อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์อย่างยาวนานในด้านการจัดฟันแบบใส พร้อมทั้งทางเรายังมีเครื่องมือทางด้านทันตกรรมที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสากล และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความปลอดภัยในทุกขั้นตอนการรักษา และมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

21
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์ 2024: เกีย KIA-EV5 Earth Long Range-ปี 2024
1,599,000 บาท

เกีย KIA-EV5 Earth Long Range-ปี 2024
Kia EV5 Earth Long Range มาพร้อมตัวเลือกระบบส่งกําลังไฟฟ้าหลากรูปแบบ โดยในรุ่นนี้ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด 160 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางจากพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน NEDC สูงสุดถึง 665 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.9 วินาที ด้วยกําลังมอเตอร์สูงสุด 217 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 310 นิวตันเมตร มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยมากมาย

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              KIA
   รุ่น                   เกีย KIA-EV5 Earth Long Range-ปี 2024
   ประเภทรถ          รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว           2024
   ราคา                 1,599,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรค
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซ็นเซอร์ ด้านหน้า, ข้าง และหลัง)
ไฟหน้า LED (แบบ Multi Reflection 3 จุด,ไฟหรี่หน้าแบบ LED)
ไฟท้าย LED
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (มือจับประตูแบบ Flush type ทํางานแบบ อัตโนมัติ,วัสดุตกแต่งซุ้มล้อ และกาบข้างสีดําเงา)
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้เป็นชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (บริเวณด้านหน้า และหลัง)
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/55R19)
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)

   ภายใน
พวงมาลัยหุ้มหนัง (สังเคราะห์ แบบ 4 ก้าน ปรับระดับ 4 ทิศทาง)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (แผงปิดสัมภาระอเนกประสงค์แบบปรับตั้งได้)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (ด้วยสวิตช์)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า          มอเตอร์ไฟฟา Permanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 217 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8.9 วินาที

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)     แรงม้า
   ระบบเกียร์                       เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์                    สวิตช์เกียร์แบบ Column-type Shift by Wire พร้อม Paddle Shift ปรับการทํางานของ Regenerative Brake
   ระบบเบรค ABS                 มี
   ชนิดแบตเตอรี่                 ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่               88.1 kWh

   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง
665 กม. มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) สูงสุด  7 kW Single-phase / 11 kW Three-phase รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 141 kW ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 100% ผ่าน AC 8 ชม. 10 นาที ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ผ่าน DC Fast charge EVSE 38 นาที

   น้ำหนักตัวรถ              2,030 กก.
   ประเภทยางรถยนต์             -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)            ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน           ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESC และควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSA)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (พร้อมครีบระบายความร้อน)
กุญแจรีโมท (Smart Key)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (พร้อมระบบ Multi-Collision Brake)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในช่องจราจร, ระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับรถยนต์ คน และจักรยาน พร้อม Junction Assist)
เข็มขัดนิรภัย (คูู่หน้าแบบ 3 จุด ELR ปรับระดับสูง -ต่ำ เข็มขัดนิรภัยแถวที่ 2 แบบ 3 จุด ELR และ ระบบแจ้งเตือนมีผู้โดยสารอยู ่ด้านหลัง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HAC และควบคมเบรกขณะลงทางลาดชัน DBC)
กล้อง (มองรอบทิศทาง)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (ที่กระจกมองข้าง,ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาบนหน้าจอ)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (และระบบป้องกันการออกจากรถขณะมีรถวิ่งมาด้านข้าง)
เบรกมือไฟฟ้า (พร้อม Auto Brake Hold)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ((ISOFIX) บนเบาะแถวที่ 2 และสวิตช์ควบคุมระบบป้องกันเด็กเปิดประตูหลังแบบไฟฟ้า)

22
9 ของทำบุญ ถวายสังฆทาน ทางวัดได้ใช้ คนถวายได้อานิสงส์!

หนึ่งในบุญที่ได้อานิสงส์มาก ก็คือ สังฆทาน หากใครเป็นสายบุญที่มองหา ไอเดียจัดสังฆทานด้วยตัวเอง ที่ถวายแล้วทางวัดได้ใช้ และผู้ถวายก็ได้อานิสงส์แรงล่ะก็ เรามีของทำบุญมาแนะนำกันค่ะ ว่าสามารถถวายอะไรได้บ้าง และของทำบุญแต่ละอย่างมีอานิสงส์อย่างไร พร้อมโปรโมชั่นดีๆ สำหรับช้อปของทำบุญออนไลน์มาฝากกันค่ะ

 การทำสังฆทาน มีอานิสงส์อย่างไร

    สังฆทาน แยกเป็น 2 คำ ได้แก่ ”สังฆะ” และ ”ทาน” โดยมีความหมายดังนี้ค่ะ

    สังฆะ หมายถึง ภิกษุตั้งแต่ 2 รูปขึ้นไป
    ทาน หมายถึง การให้, แบ่งปัน, แจกจ่ายวัตถุสิ่งของปัจจัยสี่ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์

       เมื่อรวมกันแล้ว "สังฆทาน" จึงหมายถึง การถวายวัตถุปัจจัยโดยความตั้งใจอุทิศให้เป็นของหมู่พระภิกษุ โดยไม่เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสยกย่องสังฆทานว่ามีอานิสงส์มาก และนับได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงการไม่เลือกปฏิบัติทางด้านบุคคล

 สังฆทาน แนวใหม่ ควรมีอะไรบ้าง ถวายเครื่องสังฆทานอะไรดี

      สิ่งที่ควรมีในชุดถวายสังฆทาน ควรเป็นปัจจัยสี่ ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ โดยจะเป็นเครื่องอุปโภคหรือบริโภคก็ได้ ที่ไม่ขัดต่อธรรมวินัย ซึ่งไม่จำเป็นต้องซื้อสังฆทานถังเหลืองที่จัดแบบสำเร็จรูปเสมอไป แต่เราสามารถจัดเองได้เช่นกัน ซึ่งมีข้อดีที่เราสามารถเช็กวันหมดอายุได้ และคัดเลือกของคุณภาพดีที่เหมาะสมได้ตามต้องการ

 อานิสงส์ ของถวายสังฆทาน ถวายอะไรได้บุญอย่างไร

1. ยารักษาโรค ชุดยา

      หากทำบุญถวายสังฆทาน ด้วยยารักษาโรค ชุดยา จะได้รับอานิสงส์ในเรื่องสุขภาพ เป็นผู้มีอายุยืน มีกำลังมาก มีสถิปัญญาดี มีวรรณะดี ไม่พลัดพรากจากของรักก่อนเวลาอันควร มีชีวิตร่มเย็นเป็นสุข ผู้คนยำเกรง โดยควรเลือกยาสามัญประจำบ้านที่น่าเชื่อถือ มีฉลากการใช้ยาชัดเจน และยังไม่หมดอายุ นอกจากนี้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลต่างๆ ก็เหมาะมากเช่นกันค่ะ เช่น ผ้าพันแผล ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ปิดแผล ยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์ หรือผ้าอ้อมผู้ใหญ่สำหรับพระภิกษุอาพาธ เป็นต้น ซึ่งสามารถปรึกษาเภสัชกรได้เลยค่ะ

 2. น้ำดื่ม

      หากทำบุญถวายสังฆทาน ด้วยน้ำดื่ม อานิสงส์จะทำให้เป็นผู้ไม่ขาดแคลนน้ำสะอาด มีเครื่องอุปโภคบริโภคบริบูรณ์ ชีวิตมีแต่ความราบรื่น ร่มเย็นดั่งสายน้ำ ทำสิ่งใดก็มีความคล่องตัว มีอุปสรรคน้อย ชีวิตจะทำให้เงินทองไหลมาเทมา

 3. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

      หากทำบุญถวายสังฆทาน ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ เชื่อว่ามีอานิสงส์ช่วยให้ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดสะอ้าน น่ารื่นรมย์  มีผิวพรรณที่ผ่องใส ปราศจากมลทินสิ่งชั่วร้าย ซึ่งมีหลายอย่างที่เราสามารถถวายได้ เช่น สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสระผม น้ำยาทำความสะอาด ถู ขัดพื้นผิวต่างๆ โดยแนะนำว่าตอนถวายควรจะจัดแยกประเภทไม่รวมกันทุกอย่างในบรรจุภัณฑ์เดียว เช่น ไม่เอาน้ำยาล้างห้องน้ำใส่รวมกับข้าวสารอาหารแห้ง เป็นต้นค่ะ

 4. รองเท้า

     หากทำบุญถวายสังฆทานด้วยรองเท้า จะได้รับอานิสงส์คือ ไม่ขาดแคลนยานพาหนะชั้นเลิศ เดินทางไปไหนมาไหนมีความปลอดภัย มีบริวารคอยช่วยเหลือ ทำสิ่งใดก็มีความสะดวกราบรื่น มีกัลยาณมิตรนำพาไปสู่ทางที่เจริญ

 5. ร่ม

     การทำบุญถวายสังฆทานด้วยร่มมีอานิสงส์คือ อยู่ในที่ๆ ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป ไม่มีฝุ่นละอองแปดเปื้อน เป็นผู้ไม่มีอันตราย พบเจอสิ่งที่เป็นมงคล ผู้คนยำเกรง มีผิวพรรณละเอียด เป็นผู้มีใจกว้างขวาง ชีวิตมีเเต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่ตกต่ำ ซึ่งนิยมเลือกร่มสีสุภาพไม่ฉูดฉาด เช่น สีแก่นขนุน สีไพร และสีดำ เป็นต้น

 6. หมอน อาสนะ ที่นอน

      การถวายที่นอนย่อมมีอานิสงส์ คือ มีร่างกายสมส่วน มีรูปงามน่าดู ได้ญาณอันประเสริฐ ได้เครื่องนอนที่สวยงาม อ่อนนุ่ม และย่อมได้บรรลุฌานโดยง่าย

      ส่วนการถวายหมอนมีอานิสงส์ คือ  ได้หมอนที่สวยงามปราณีต และได้ญาณในมรรคผลในภายหน้า

      โดยควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับพระสงฆ์ โดยพระวินัยกำหนดไว้ว่าบุรุษ-สตรี เมื่อจะถวายเตียงตั่งแก่พระต้องเลือกเอาแต่ที่มีเท้าสูงไม่เกิน 8 นิ้วพระสุคต หรือ 9 นิ้วฟุต เว้นไว้แต่แม่แคร่ และไม่มีรูปสัตว์ร้ายที่เท้า เช่น เตียงจมูกสิงห์ หรือบัลลังก์ และเตียงนั้นต้องไม่ใหญ่ถึงนอนได้ 2 คน ที่นอนก็ไม่ใหญ่อย่างเตียง ฟูกเตียง ฟูกตั่ง และที่นั่งที่นอนไม่ยัดนุ่นหรือสำลี (รตนวรรค ข้อ ๕ และ วิ. ๒/๓๙)

 7. หลอดไฟ เทียนพรรษา

     หากทำบุญถวายสังฆทานด้วยหลอดไฟฟ้า หรือ เทียนพรรษา จะมีอานิสงส์ช่วยให้เป็นผู้มีปัญญาดี มีความสามารถ เรียนรู้สิ่งใดก็ประสบความสำเร็จได้เร็ว เมื่อพบเจอกับอุปสรรคในชีวิตก็จะไม่อับจนหนทาง จะได้พบทางออกหรือมีผู้ชี้ทางสว่างให้เสมือนที่เคยได้ถวายแสงสว่างแก่ผู้อื่นนั่นเอง

 8. ข้าวสาร อาหารแห้ง

     หากทำบุญถวายสังฆทาน ด้วยข้าวสารอาหารแห้งต่างๆ จะได้รับอานิสงส์ทำให้มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่อดอยาก มีของกินของใช้บริบูรณ์ มีผิวพรรณผ่องใส มีกำลังมาก และเป็นผู้มีอายุยืน ซึ่งเราสามารถเลือกของทำบุญที่ปราณีตได้ก็ยิ่งดีค่ะ เช่น เลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง หรืออาหารที่มีสารปรุงแต่งเยอะ และเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้นค่ะ

 9. เครื่องใช้ไฟฟ้า

     ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้ไฟฟ้ากันมากขึ้น จึงสามารถถวายเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน  เช่น การถวายพัดลม เป็นต้น โดยเชื่อกันว่าการถวายพัดลมนั้นจะมีอานิสงส์ช่วยให้ชีวิตของเราร่มเย็น ไม่ขาดแคลนปัจจัยและสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต หรือหากติดขัดอะไร ก็จะมีผู้ช่วยเหลือให้ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด "เหมือนกับพัดลมที่ขับไล่ความร้อนออกไป ได้ความเบาสบายเข้ามาแทนที่" นั่นเองค่ะ

23
บ้านใหม่ 2024: กรีนแลนด์ 2 กำแพงแสน-นครปฐม (Greenland 2 Kamphaeng Saen-Nakhon Pathom)
ราคา : เริ่มต้น 1,690,000 บาท

จุดเด่น
ทาวน์โฮม 2 ชั้น ทำเลดี ใกล้ ม.เกษตรกำแพงแสน, โลตัสกำแพงแสน, โรงพยาบาลกำแพงแสนอินเตอร์, ตลาดกำแพงแสน สุข สงบ สะดวก ปลอดภัย

รายละเอียดโครงการ

ชื่อโครงการ : กรีนแลนด์ 2 กำแพงแสน-นครปฐม (Greenland 2 Kamphaeng Saen-Nakhon Pathom)
ดูบ้านราคาใกล้เคียง  ดู วีระวัฒน์ เรียลเอสเตท ทุกโครงการ
เจ้าของโครงการ : วีระวัฒน์ เรียลเอสเตท
ราคา : เริ่มต้น 1,690,000 บาท (ณ. วันที่ 10/11/2023)

 ประเภทบ้าน : ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
ลักษณะทำเล : บ้านชานเมือง, บ้านพักตากอากาศ, บ้านลักษณะทำเลอื่น
พื้นที่โครงการ : โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
จำนวนบ้าน : 7 หลัง
แบบบ้านทั้งหมด : 1 แบบ
เนื้อที่บ้าน : ตั้งแต่ 30 ตร.ว.
พื้นที่ใช้สอย : โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
จำนวนชั้น : 2 ชั้น
หน้ากว้าง : 5 ม.
จำนวนห้องนอน : 3 ห้อง
จำนวนที่จอดรถ : 2 คัน
สาธารณูปโภค : n/a
ขนส่งสาธารณะ : โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

สถานที่สำคัญใกล้เคียง :
ม.เกษตรกำแพงแสน
โลตัสกำแพงแสน
โรงพยาบาลกำแพงแสนอินเตอร์
ตลาดกำแพงแสน

 โซน : นครปฐม
ที่ตั้ง : ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม


24
จัดฟันบางนา: รากฟันติดเชื้อ อันตรายกว่าที่คิด !

การรักษารากฟัน คือวิธีรักษาการติดเชื้อในโพรงประสาทฟันจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ภายในปาก เข้าไปสร้างปัญหาเมื่อเกิดฟันผุ ฟันเป็นรู หรือฟันที่ได้รับอุบัติเหตุทำให้เนื้อฟันแตก หัก ซึ่งการรักษารากฟันไม่จำเป็นต้องถอนฟัน

แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ฟันซี่นั้นเสียหายจนต้องถอนฟัน จะก่อเกิดปัญหาต่อการกัดหรือเคี้ยวอาหาร ทำให้ฟันเคลื่อน และยากต่อการทำความสะอาดช่องปาก และจะมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากตามมาได้

ดังนั้นจึงควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาดอยู่เสมอ และรับการตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน


ระวัง !! ภาวะการติดเชื้อ บริเวณฝังรากฟันเทียม

การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ถือเป็นเรื่องที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นในวงการทันตกรรม และเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติและการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมนั้น ก็ต้องการการดูแลรักษาอย่างละเอียดและดีที่สุด เพื่อให้เกิดความสำเร็จในการรักษาผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ซึ่งบางรายอาจจะละเลยการดูแลความสะอาด ทำให้แผลที่ผ่าตัดหรือรากฟันเทียมเกิดอาการติดเชื้อ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขก็อาจจะลุกลามไปถึงบริเวณฟันซี่ใกล้เคียงได้ และอาจจะให้เกิดผลกระทบตามมาภายหลัง

สำหรับการฝังรากฟันเทียมนั้น หากบริเวณที่ได้ทำการฝังรากฟันเทียมลงไปเกิดอาการติดเชื้อแบบฉับพลัน หรือสูญเสียฟันไปเนื่องจากการติดเชื้อโรคปริทันต์ ก็จะส่งผลถึงบริเวณขอบกระดูก ทำให้การฝังรากเทียมนั้นมีความยุ่งยากและมีขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่ในบางกรณีที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง เช่นมีเงาดำบริเวณปลายรากฟัน ไม่มีหนอง ก็มันจะมีการทำลายกระดูกบริเวณปลายราก แต่หากบริเวณขอบกระดูกไม่โดนทำลาย ก็จะทำให้การรักษาผ่าตัดฝังรากฟันเทียมง่ายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการรักษาผ่าตัดฝังรากฟันเทียมก็ควรดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีก่อนเข้ารับการรักษา และควรเข้าปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับฟังคำแนะนำและการปฏิบัติตัวก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้ผลการรักษาสำเร็จและมีความสมบูรณ์ในการรักษามากที่สุด เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้มีรากฟันเทียมที่สามารถใช้ทดแทนฟันธรรมชาติที่เสียไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้งานรากฟันเทียมได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด

25
รถยนต์ไฟฟ้า 2024: ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
499,000 บาท

ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
Changan Lumin L ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและเทคโนโลยีล้ำสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัว มาพร้อมกับแบตเตอรี่ CATL วิ่งได้สูงสุด 301 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง DC เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน และด้วยรูปทรงที่น่ารักมาพร้อมสีสันสดใส ทำให้ LUMIN เป็น EV City Car ที่โดดเด่นและน่าจับตามอง

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์            CHANGAN
   รุ่น                ฉางอาน CHANGAN Lumin L DC ปี 2024
   ประเภทรถ       รถเก๋ง 3 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว       2024
   ราคา            499,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟตัดหมอก (หลัง)
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซ็นเซอร์ด้านหลัง 2 จุด)
ล้อกระทะ (14 นิ้ว พร้อมฝาครอบ)
ไฟท้าย LED
ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (ฮาโลเจน)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ระบบเปิดไฟเพื่อช่วยค้าหารถจากรีโมท)
ขนาดยางหน้า-หลัง (165/70R14)

   ภายใน
ตกแต่งภายใน (สีเทา-ดำ/สีเทาอ่อน-ส้ม)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (Eco/Sport)
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 48 แรงม้า แรงบิด 83 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 101 กม./ชม. ระยะเวลาการชาร์จแบบ AC (0-100%) ใน 10 ชม. ระยะเวลาการชาร์จแบบ DC (30-80%) ใน 35 นาที พร้อมระบบดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)  แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS            มี
   ชนิดแบตเตอรี่             ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่          28.08 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง  301
   น้ำหนักตัวรถ                    925 กก.
   ประเภทยางรถยนต์              -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน             ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
เซ็นทรัลล็อค (อัตโนมัติตามความเร็วรถ/ระบบปลดล๊อคอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน)
กุญแจรีโมท (กุญแจ Smart Key / Keyless Entry)
ไฟเบรกดวงที่ 3
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบตรวจจับความผิดปกติของลมยาง)
เข็มขัดนิรภัย (ด้านหน้าล๊อก 3 จุด)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HHC)
กล้อง (มองหลัง)
เสียงเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย (ด้านคนขับ)

26
ข้อมูลโรคกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)

กล่องเสียง (larynx) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย (pharynx) และอยู่ตรงส่วนบนของท่อลม (trachea)

การอักเสบของกล่องเสียงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์


สาเหตุ

การอักเสบของกล่องเสียงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมากจะเกิดร่วมกับไข้หวัด เจ็บคอ หรือหลอดลมอักเสบ ส่วนน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

บางครั้งอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้เสียงมาก (เช่น ร้องเพลง สอนหนังสือ เป็นต้น) หรือเกิดจากการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน

อาการ

ที่สำคัญ คือเสียงแหบแห้ง บางรายอาจเป็นมากจนไม่มีเสียง อาจรู้สึกเจ็บคอเวลาพูด

บางรายอาจมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอร่วมด้วย

โดยทั่วไป มักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิดจากการระคายเคืองมักมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากมักหายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อที่พบร่วม อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาจตรวจพบมีไข้ น้ำมูกไหล หรือคอแดงร่วมด้วย

บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากการระคายเคือง

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง หรือสงสัยมีความผิดปกติของกล่องเสียงหรือโรคกรดไหลย้อน แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ

2. เฉพาะในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีเสมหะเหลืองหรือเขียว หรือคอแดงจัด ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)

3. ถ้ามีอาการหอบ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจมีสาเหตุจากคอตีบ หรือครู้ป

4. ถ้าเสียงแหบเป็นอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ก็มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบแทรกซ้อน

การดูแลตนเอง

ในรายที่มีเสียงแหบ โดยที่สุขภาพทั่วไปดี กินอาหารและทำงานได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักการใช้เสียง ควรหยุดพูดรวมทั้งการกระซิบ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)
    สูดดมไอน้ำอุ่นบ่อย ๆ
    ถ้ามีไข้ กินยาลดไข้-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวทุกครั้งนานเกิน 24 ชั่วโมง
    มีอาการเจ็บคอมาก หรือหายใจลำบาก
    คลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    มีอาการเสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก
    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เสียงแหบ อาทิ

    พักการใช้เสียง ในรายที่เกิดจากการใช้เสียงมาก
    งดบุหรี่/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นสาเหตุของอาการเสียงแหบ
    ในรายที่เกิดจากไข้หวัด ก็หาทางป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
    ในรายที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลรักษาโรคนี้ไม่ให้กำเริบบ่อย (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)

ข้อแนะนำ

1. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. อาการเสียงแหบมักพบในผู้ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่ใช้เสียงมาก (เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น) โดยมากจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน เมื่อได้รับการดูรักษาแล้ว เสียงควรจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

แต่ถ้าพบว่ามีอาการเสียงแหบติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ปุ่มเนื้อของสายเสียง (vocal cord nodules) เป็นปุ่มเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เติบโตจากเซลล์เยื่อบุผิว (epithelium) ของสายเสียง มีสาเหตุมาจากการใช้เสียงมากเกิน เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น การพักใช้เสียงเป็นเวลาหลายสัปดาห์อาจทำให้ปุ่มยุบหายไปได้เอง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องตัดออก ผู้ที่เป็นโรคนี้แพทย์จะฝึกการใช้เสียง (voice therapy) ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก
    ติ่งเนื้อเมือกของสายเสียง (vocal cord polyps) เป็นเนื้องอกของเซลล์เยื่อเมือก (mucous membranes) ของสายเสียง เกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองเรื้อรัง (เช่น สูบบุหรี่) มักต้องรักษาด้วยการผ่าตัดติ่งเนื้อออกไป
    หูดกล่องเสียง (laryngeal papillomatosis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดเนื้องอก (หูด) ตรงสายเสียงและกล่องเสียง ทำให้มีเสียงแหบเรื้อรัง ถ้าก้อนโตอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และจะหายได้เองเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว มักจะต้องรักษาด้วยการตัดออก
    โรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเจ็บคอเสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง มักเป็นมากหลังตื่นนอน (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)
    แผลสายเสียง (contact ulcer of vocal cord) พบในผู้ที่ใช้เสียงมากเกิน สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเสียงแหบ เจ็บเวลาพูดหรือกลืน ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้เสียง ต้องพักการใช้เสียงนาน 6 สัปดาห์ และฝึกการใช้เสียงให้ถูกต้อง ถ้าเกิดจากโรคกรดไหลย้อนก็ต้องให้ยาลดการสร้างกรด เป็นต้น
    มะเร็งกล่องเสียง พบมากในผู้ชายสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน
    สายเสียงเป็นอัมพาต (vocal cord paralysis) อาจเกิดจากโรคทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง อัมพาต) หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยตัดถูกเส้นประสาท (laryngeal nerve) ที่ควบคุมการทำงานของสายเสียง ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการเสียงแหบอย่างถาวร
    วัณโรคกล่องเสียง (tuberculous laryngitis) ทำให้มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง อาจมีอาการของวัณโรค (เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

27
จัดฟันบางนา: หลายคนสงสัย ! การจัดฟันแบบใส เจ็บหรือไม่ ?

การจัดฟัน ถือเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการจัดฟันแบบทั่วไปที่มีเหล็กจัดฟันนั้น หลายคนคงเคยกับประสบปัญหา การระคายเคืองในช่องปาก เนื่องจาก โดนเหล็กจัดฟันเกี่ยวจนอาจจะเกิดแผลภายในช่องปากได้ แต่ต้องเข้ารับการตรวจช่องปากในทุกๆเดือน และในบางครั้งอาจจะมีการดึงฟัน ทำให้รู้สึกเจ็บปวด

หากเทียบกับการจัดฟันแบบใสแล้ว จะมีความเจ็บปวดที่น้อยกว่า เพราะไม่ต้องทำการถอนฟันก่อนเข้ารับการจัดฟัน และเมื่อใส่เครื่องมือจัดฟันแล้ว จะไม่เกิดการระคายเคือง ไม่รู้เจ็บปวดขณะที่ใส่เครื่องมือด้วย นอกจากนี้เวลารับประทานอาหารก็ไม่ทำให้ปวดฟัน เนื่องจากสามารถถอดเครื่องมือจัดฟันออกได้ ในเวลาที่รับประทานอาหารและแปรงฟัน

ซึ่งหากต้องการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ทางคลีนิค เรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำการรักษา และมีประสบการณ์การทันตกรรมมาหลายปี จึงสามารถให้คำปรึกษาและคำแนะนำผู้ที่จะเข้าทำการรักษาได้ รวมถึงทางคลีนิคมีเครื่องมือที่ทันสมัย จึงมีความมั่นใจได้ว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสที่คลีนิค ผู้เข้ารับการรักษาจะได้รับการบริการที่เป็นที่น่าประทับใจอย่างแน่นอน

28
คอนโดติดรถไฟฟ้า ไฮ เอ็กซ์คลูซีฟ รัชดา 19 - วิภาวดี 16 (HI Exclusive Ratchada 19 - Vibhavadi 16)
N/A 

ไฮ เอ็กซ์คลูซีฟ รัชดา 19 - วิภาวดี 16 (HI Exclusive Ratchada 19 - Vibhavadi 16)
คอนโดออกแบบโครงการหรูหราทันสมัย ห้องกว้าง ส่วนกลางครบ สระว่ายนํ้าฟิตเนส และ Co-working space สามารถลัดออกถนนหลักได้ถึง 3 เส้น ทั้งถนนรัชดาภิเษก ถนนวิภาวดีรังสิต และ ถนนลาดพร้าว ใกล้กับ MRT รัชดาภิเษก ห่างจากโครงการประมาณ 800 ม.

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              ไฮ เอ็กซ์คลูซีฟ รัชดา 19 - วิภาวดี 16 (HI Exclusive Ratchada 19 - Vibhavadi 16)
 เจ้าของโครงการ         ยูทีลิตี้ เรียล เอสเตท
 แบรนด์ย่อย               ไฮ
 ราคา                       N/A

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด            1 ไร่ 1 งาน 86 ตร.ว.
 จำนวนตึก               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้อง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ที่จอดรถทั้งหมด       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน     รัชดา, ห้วยขวาง, พระราม 9, เพชรบุรี
 ที่ตั้ง     ซอย วิภาวดี 16/29 แขวงรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                   ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานีบางซื่อ - หัวลำโพง(รัชดาภิเษก)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

29
งานมอเตอร์เอ็กซ์โปร์: เทสลา Tesla-Model 3 Performance AWD-ปี 2024
2,199,000 บาท

เทสลา Tesla-Model 3 Performance AWD-ปี 2024
Tesla Model 3 Performance AWD เป็นรถซีดานไฟฟ้า Model 3 ที่มีการปรับโฉม คุณสามารถใช้สมาร์ทโฟนเป็นกุญแจรถ และสามารถเข้าถึงระบบควบคุมของผู้ขับขี่ทั้งหมดบนหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 15.4 นิ้วที่ติดตั้งตรงกลาง หลังคาที่เป็นกระจกทั้งหมดที่เริ่มจากด้านหน้าไปถึงด้านหลังซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกที่โปร่งและโล่งสบายจากทุกที่นั่ง สามารถวิ่งได้ 528 กม. (ตามมาตรฐาน WLTP) และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 261 กม./ชม.

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Tesla
   รุ่น                  เทสลา Tesla-Model 3 Performance AWD-ปี 2024
   ประเภทรถ         รถเก๋ง 4 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว          2024
   ราคา              2,199,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต
ไฟหน้า LED
ไฟท้าย LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ
ล้ออัลลอย (Warp ขนาด 20 นิ้ว)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ระบบนำทาง (Navigator)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (เพิ่มโหมดปรับแต่งเอง และ โหมด beta)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                   ขับเคลื่อนสี่ล้อมอเตอร์คู่ 528 กม.

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS             มี
   ชนิดแบตเตอรี่              ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่            N/A
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง      528 กิโลเมตร (WLTP)
   น้ำหนักตัวรถ                        1,861 กก.
   ประเภทยางรถยนต์                  -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                   ล้ออัลลอย (Warp ขนาด 20 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                  ขับเคลื่อนสี่ล้อ (Dual Motor All-Wheel Drive)

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
ไฟเบรกดวงที่ 3
เข็มขัดนิรภัย
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย (แบบลดเสียงรบกวน Acoustic Glass)
คานเหล็กเสริมนิรภัย
กล้อง (ด้านหลัง ด้านข้าง และด้านหน้าแบบ 360? มอบทัศนวิสัยสูงสุด)

30
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia)

ภาวะตัวเย็นเกิน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิลดต่ำเกิน อันเป็นผลมาจากการสัมผัสถูกความหนาวเย็น เช่น อยู่ในอากาศหนาว หรือแช่ในน้ำเย็นจัด ทำให้อุณหภูมิแกน (core temperature) ของร่างกายลดต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้อวัยวะต่าง ๆ (โดยเฉพาะหัวใจและสมอง) ได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ไม่ได้ตามปกติ เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง เป็นอันตรายถึงตายได้

มักพบในผู้ที่เผชิญกับความหนาวเย็นโดยขาดการป้องกันร่างกายให้อบอุ่นเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง


สาเหตุ

1. เกิดจากการสัมผัสกับความหนาวเย็น เช่น อากาศหนาว หรือแช่อยู่ในน้ำเย็นจัด มักพบในคนอายุไม่มากที่ร่างกายแข็งแรง เกิดขึ้นเนื่องจากอุบัติเหตุเป็นส่วนใหญ่

2. เกิดจากร่างกายสูญเสียกลไกปรับอุณหภูมิ ทำให้ไม่สามารถสร้างและเก็บความร้อนในร่างกายได้ มักพบในผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี) ผู้ที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อน (เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพาต โรคสมองเสื่อมหรือปัญญาอ่อน พาร์กินสัน เบาหวานที่มีภาวะประสาทเสื่อม ภาวะขาดไทรอยด์ ภาวะขาดอาหาร เป็นต้น) ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือกินยานอนหลับหรือยากล่อมประสาท บุคคลกลุ่มนี้เมื่อสัมผัสอากาศเย็นพอประมาณ (ไม่ถึงกับหนาวมาก) อุณหภูมิร่างกายก็จะลดลงถึงขั้นเป็นอันตรายได้


อาการ

ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีอาการสั่น พูดอ้อแอ้ เดินเซ งุ่มง่าม อ่อนเพลีย ง่วงซึม หงุดหงิด สับสน ความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้อยลง (ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่ากำลังได้รับอันตราย)

ต่อมาเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงไปอีก ผู้ป่วยจะหยุดสั่น มีอาการเพ้อคลั่ง ไม่ค่อยรู้ตัว ในที่สุดหมดสติและหยุดหายใจ


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะตัวเย็นเกินส่งผลกระทบต่ออวัยวะแทบทุกส่วน ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ มักเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้น (asystole) หรือหัวใจห้องล่างเต้นระรัว (ventricular fibrillation)

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะเลือดเป็นกรด (metabolic acidosis) โพแทสเซียมในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ปอดอักเสบ ไตวาย ภาวะเลือดข้น ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ตับอ่อนอักเสบ ทางเดินอาหารเป็นแผลหรือเลือดออก หลอดลมหดเกร็ง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ระยะแรก (อุณหภูมิวัดทางทวารหนักมีค่า 32-35 องศาเซลเซียส) จะพบว่าผิวหนังเย็นและซีด มีอาการสั่น หายใจเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง

แต่ถ้าอุณหภูมิร่างกายลดมาก (วัดทางทวารหนักมีค่าต่ำกว่า 32 องศาเซลเซียส) ผู้ป่วยจะไม่มีอาการสั่น หายใจช้า ชีพจรเต้นช้าหรือเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำ ปากเขียว ตัวเขียว รูม่านตาโตทั้ง 2 ข้าง หรืออาจพบผู้ป่วยหมดสติ หยุดหายใจ คลำชีพจรไม่ได้


การรักษาโดยแพทย์

เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วน และรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แพทย์จะรีบหาวิธีทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น เช่น ห่มผ้านวมหรือผ้าห่มหนา ๆ เช่น น้ำอุ่นหรือประคบด้วยน้ำอุ่น ห่มผ้าห่มไฟฟ้า (electric blanket) ให้สารน้ำที่อุ่นเข้าทางหลอดเลือดดำ ให้หายใจอากาศที่อุ่นเข้าร่างกาย การสวนน้ำอุ่นทางกระเพาะอาหาร ทวารหนัก กระเพาะปัสสาวะ ช่องท้อง โพรงเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น

ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจหรือชีพจรไม่เต้น จะต้องรีบทำการกู้ชีพ (CPR) ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ปรับดุลอิเล็คโทรไลต์ในเลือด

แพทย์จะประเมินอาการและภาวะแทรกซ้อนโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น และทำการแก้ไขภาวะผิดปกติตามที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นก่อนมาถึงโรงพยาบาล ถ้าได้รับการรักษาได้เร็ว ก็มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าร้อยละ 75

แต่ถ้าได้รับการรักษาช้าเกินไป หรือมีปัจจัยเสี่ยง (เช่น โรคเรื้อรัง) อยู่ก่อน ผลการรักษาก็มักไม่ดี


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นภาวะตัวเย็นเกิน เช่น มีอาการสั่น พูดอ้อแอ้ เดินเซ งุ่มง่าม อ่อนเพลีย ง่วงซึม หงุดหงิด สับสน ความสามารถในการคิดและตัดสินใจด้อยลง หลังจากมีการสัมผัสถูกความหนาวเย็น (เช่น อยู่ในอากาศหนาว หรือแช่ในน้ำเย็นจัด) ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที


การปฐมพยาบาล

เมื่อพบผู้ป่วยมีภาวะตัวเย็นเกิน ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน ก่อนส่งควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้

1. พาผู้ป่วยหลบอากาศและลมที่หนาวเย็น หรือขึ้นจากน้ำเย็น เข้าไปในห้องที่อบอุ่นและไม่มีลมเข้า

2. ถ้าเสื้อผ้าเปียกน้ำควรปลดออก และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งแทน

3. อบอุ่นร่างกายด้วยการห่อหุ้มร่างกายผู้ป่วยด้วยผ้านวม ผ้าห่มหนา ๆ หรือเสื้อผ้าหนา ๆ ในกรณีที่ยังอยู่ในกลางแจ้ง ควรคลุมถึงหน้าและศีรษะ (เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากบริเวณนี้) นอกจากนี้อาจนอนกอดหรือแนบชิดร่างกายผู้ป่วย เพื่อถ่ายเทความร้อนให้ผู้ป่วย

4. จับให้ผู้ป่วยนอนนิ่ง ๆ ในท่านอนหงายบนพื้นที่อบอุ่นหรือมีผ้าหนา ๆ ปูรอง หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่จำเป็น ห้ามนวดหรือแตะต้องตัวผู้ป่วยแรง ๆ อาจกระเทือนให้หัวใจหยุดเต้นได้

5. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ให้ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ ห้ามมีแอลกอฮอล์ผสม เพราะยิ่งจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อน

6. ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการเป่าปาก ถ้ายังหายใจได้แม้จะแผ่ว ๆ ก็ยังไม่ต้องทำการกู้ชีพ อาจกระเทือนให้หัวใจหยุดเต้นได้


การป้องกัน

การป้องกันอันตรายจากความเย็น ควรปฏิบัติ ดังนี้

1. สวมใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่นเพียงพอ ห่มผ้าห่มหรือผ้านวมหนา ๆ หรือผิงไฟให้อบอุ่น

2. หลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสอากาศหนาวหรือลมหนาวนอกบ้าน ถ้าเลี้ยงไม่ได้ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้เพียงพอ รวมทั้งปกคลุมถึงหน้าและศีรษะ ใส่ถุงมือถุงเท้า

3. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

4. ในช่วงอากาศหนาวเย็น ควรดูแลกลุ่มเสี่ยง (เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง) เป็นพิเศษ ไม่ให้ได้รับอันตราย


ข้อแนะนำ

1. แม้ว่าในบ้านเราอากาศจะไม่หนาวมาก แต่ในช่วงฤดูหนาวในแต่ละปีก็พบมีรายงานผู้เสียชีวิตจากอากาศหนาวในภาคเหนือและภาคอีสาน ดังนั้น เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวจึงควรหาทางป้องกันไม่ให้รับอันตราย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรัง

2. โรคนี้จัดว่าเป็นภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินร้ายแรง หากพบผู้ป่วยถูกความหนาวเย็น และมีอาการสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบให้การปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาลทันที


หน้า: [1] 2 3 ... 6